สุดยอดพิพิธภัณฑ์ของโลก

สุดยอดพิพิธภัณฑ์ของโลก
            การเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ เป็นการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่นอกจากคุณจะได้เก็บภาพสวย ๆ ของสถาปัตยกรรมสุดอัศจรรย์แล้ว พิพิธภัณฑ์ยังเก็บรวบรวมศิลปะ และองค์ความรู้ต่าง ๆ ไว้ให้ผู้มาเยือนได้ศึกษาอีกด้วย กระปุกดอทคอมวันนี้ เลยขออาสาพาไปดูพิพิธภัณฑ์ 9 แห่งของโลก ที่ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่และทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเยือน ดังนี้


พิพิธภัณฑ์ ซัลวาดอร์ ดาลี่

1. พิพิธภัณฑ์ ซัลวาดอร์ ดาลี่ ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก รัฐฟลอริด้า สหรัฐฯ เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่จัดแสดงงานของ ซัลวาดอร์ ดาลี่ โดยเฉพาะ โดยผลงานที่เขาสร้างสรรค์แต่ละชิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นงานศิลปะที่งดงาม และทำให้ผู้คนประทับใจมาแล้วนับไม่ถ้วน ผลงานที่โด่งดังมากที่สุด ได้แก่ Saint John of the cross และผลงานชุด Crucifixion




พิพิธภัณฑ์นานาชาติ แม็กซ์ซี่

2. พิพิธภัณฑ์นานาชาติ แม็กซ์ซี่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี พิพิธภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จไปเมื่อปีที่แล้ว เป็นพื้นที่ที่ใช้จัดแสดงงานศิลปะแห่งศตวรรษที่ 21 พิพิธภัณฑ์นี้เป็นที่เลื่องลือเรื่องการออกแบบเป็นอย่างมาก




พิพิธภัณฑ์ Guggenheim

3. พิพิธภัณฑ์ Guggenheim นิวยอร์ค สหรัฐฯ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงคอลเลคชั่นของนักเขียนภาพสมัยต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นสถานที่แสดงนิทรรศการต่าง ๆ ของชาวอเมริกันอีกด้วย




พิพิธภัณฑ์ Centre Pompidou

4. พิพิธภัณฑ์ Centre Pompidou กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีส จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นศูนย์รวมความรู้มากมาย เช่น หอศิลป์ ข้อมูลทางศิลปะและดนตรี หอสมุด เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวโลก




พิพิธภัณฑ์ศิลปะเดนเวอร์

5. พิพิธภัณฑ์ศิลปะเดนเวอร์ โคโลราโด สหรัฐฯ เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงคอลเลคชั่นศิลปะสไตล์อเมริกันอินเดียน ซึ่งมีให้ชมมากกว่า 68,000 ชิ้นจากทั่วโลก




พิพิธภัณฑ์ Royal Ontario

6. พิพิธภัณฑ์ Royal Ontario เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา รวบรวมอารยธรรมของโลกและประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ภายในมีการจัดแสดงโครงกระดูกของสัตว์ต่าง ๆ และข้าวของเก่าเก็บจากทั่วโลก




พิพิธภัณฑ์ Royal Ontario

7. พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย Niterói ในริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลในริโอเดจาเนโร ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่ดี ดึงดูความสนใจของนักท่องเที่ยวได้ดีเลยทีเดียว เนื่องจากนอกจากจะได้ชมศิลปะร่วมสมัยแล้วก็ยังไม่ชมวิวทิวทัศน์โดยรอบอีกด้วย




พิพิธภัณฑ์ Palace of Fine Arts

8. พิพิธภัณฑ์ Palace of Fine Arts ในซานฟรานซิลโก สหรัฐฯ พิพิธภณฑ์ทางศิลปะ ที่ไม่ได้โดดเด่นเพียงแค่ด้านศิลปะเท่านั้น เพราะด้วยที่ตั้งที่อยู่ริมน้ำ ทำให้ Palace of Fine Arts ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปมาก ๆ โดยแต่ละปีจะมีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปแต่งงานเป็นจำนวนมาก




พิพิธภัณฑ์ City of Arts and Sciences

9. พิพิธภัณฑ์ City of Arts and Sciences ที่วาเลนเซีย ประเทศสเปน เป็นพิพิธภัณฑ์ความรู้ทางวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ภายในมีโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์สำหรับแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก ที่ทำให้ผู้คนที่มาเยือนประทับใจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

อานิสงส์ของการสวดมนต์

การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์คือผลความดี ดังนี้
๑. ทำให้มีสุขภาพดี การสวดมนต์ด้วยการออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
๒. คลายความเครียด ในขณะสวดมนต์จิตจะจดจ่อกับบทสวด สมองจะปลอดโปร่ง ไม่คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
๓. เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระไตรรัตน์ บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อสวดมนต์ไปก็เท่ากับว่าได้เพิ่มพูนศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้มั่นคงยิ่งขึ้น
๔. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะที่สวดมนต์ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อเอาชนะความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำที่จะเข้ามากระทบจิตใจทำให้เกิดความเกียจคร้าน ดังนั้น ยิ่งสวดบ่อยๆ ความอดทนก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น
๕. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะที่สวดมนต์จิตจะจดจ่ออยู่กับบทสวดไม่วอกแวกวุ่นวายไปในที่อื่น จึงมีความสงบเกิดสมาธิมั่นคง สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส งดงาม แม้เพียงระยะเวลาน้อยนิด ก็เป็นบุญกุศลประมาณค่าไม่ได้
๖. เพิ่มพูนบุญบารมี ขณะที่สวดมนต์จิตใจจะสะอาด ปราศจากกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งบุญบารมี เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่ต้องการได้
๗. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาเป็นการมอบความรักความปรารถนาดีให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธให้เบาบางลงไป พบแต่ความสุขสงบ
๘. เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การสวดมนต์เป็นการทำความดีทั้งทางกายคือการสละเวลามาทำ ทางวาจาคือการกล่าวคำสวดที่ถูกต้อง และทางใจคือการตั้งใจทำด้วยความมั่นคง ย่อมเกิดสิริมงคลแก่ผู้สวดภาวนาทุกประการ
๙. เทวดาคุ้มครองรักษา ผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำย่อมเป็นที่รักของเทวดา จะทำอะไรก็ตามหรือแม้แต่จะเดินทางไปที่ไหนๆ ก็ปลอดภัยจากอันตราย ประสบความสำเร็จเหมือนมีเทวดาให้พร
๑๐. สติมาปัญญาเกิด การสวดมนต์เป็นการสั่งสมคุณความดี ทำให้มีสติและมีจิตสำนึกที่ดีในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะถ้าสวดพร้อมกับคำแปลก็จะเกิดสติปัญญานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตได้
๑๑. มีผิวพรรณผ่องใสจิตใจชื่นบาน การสวดมนต์ด้วยการเปล่งเสียงเป็นการกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง จะทำให้มีผิวพรรณผ่องใสใจเป็นสุข เพราะขณะที่สวดมนต์จิตจะตั้งมั่นในบุญกุศล ไม่คิดไปในเรื่องอื่นที่ทำให้ใจเศร้าหมอง
๑๒. พิชิตใจผู้คนให้รักใคร่ การสวดมนต์เป็นประจำจะทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้ที่เป็นมิตรอยู่แล้วก็รักใคร่กลมเกลียวกันมากยิ่งขึ้น แม้คนที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันก็จะหันกลับมาคืนดีในที่สุด
๑๓. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย การสวดมนต์เป็นประจำ จะทำให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ในยามโชคร้ายประสบเคราะห์กรรมอันจะมีมาถึงตัว เพราะจะทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
๑๔. สะเดาะกรรมทำให้ดวงดี การสวดมนต์เป็นการแก้เคราะห์สะเดาะกรรม ขจัดปัดเป่าเสนียดจัญไร ท่านกล่าวไว้ว่าชีวิตของคนเราจะดีหรือชั่วนั้นก็อยู่ที่การกระทำ ทำดีก็มีความสุข ทำชั่วก็กลั้วทุกข์ร้อนรนใจ การสวดมนต์จะช่วยให้สิ่งที่ร้ายกลายเป็นดี
๑๕. ครอบครัวเป็นสุขสดใส การสวดมนต์เป็นการสร้างความสุข และเกิดความสามัคคีในครอบครัว หากครอบครัวใดที่พ่อบ้านแม่เรือนสวดมนต์และสอนลูกหลานให้สวดมนต์เป็นประจำ จะมีความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข


ขอบคุณ หนังสือสวดมนต์อานิสงส์ครอบจักรวาล


และ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ssnarak&month=16-12-2012&group=10&gblog=174

แนวทาง 10 ประการ ในการเอาชนะความทุกข์

1. เวลาพบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ มันชวนให้ท่านโกรธหรือเดือดร้อนใจขึ้นมา จงอย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป หรือจงอย่าเพิ่งทำอะไรลงไป แต่จงคิดให้ได้ก่อนว่า นี่คือสิ่งที่คนทุกคนในโลกนี้ ไม่ปรารถนาจะพบเห็น แต่ทุกคนก็ต้องพบกับมัน สิ่งนี้คือสิ่งที่ ท่านจะเอาชนะมัน ด้วยการสลัดมันให้หลุดออกไปจากใจก่อน ถ้าท่านสลัดมันออกไปจากใจได้ ท่านก็จะเป็นอิสระ และไม่เป็นทุกข์ เมื่อท่านไม่เป็นทุกข์ เพราะมันก็หมายความว่า ท่านชนะมัน
2. เมื่อคิดได้ดังนั้นจนจิตมองเห็นสภาวะที่ใสสะอาดในตัวมันเอง จงหวนกลับไปคิดว่า แล้วเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ไม่กี่นาที ท่านก็จะรู้วิธีที่จะแก้ปัญหานั้น อย่างถูกต้องที่สุดและฉลาดเฉียบแหลมที่สุด โดยที่ท่านจะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องนั้นเลย
3. เวลาที่พบกับความพลัดพรากสูญเสีย ก็จงหยุดจิตไว้อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว และจงยอมรับว่า นี่คือ สภาวะธรรมดาที่มีอยู่ในโลก มันเป็นของที่มีอยู่ในโลกนี้มานานแล้ว ท่านจะไปตื่นเต้น เสียอกเสียใจกับมันทำไม มันจะเป็นอย่างไร ก็ให้มันเป็นไป ไม่ต้องตื่นเต้น และจงคิดให้ได้ว่า ในที่สุดแล้วท่านจะต้องพลัดพรากและสูญเสีย แม้กระทั่งชีวิตของท่านเอง วิธีคิดอย่างนี้จะทำให้ท่านไม่เป็นทุกข์เลย
4. เวลาประสบกับเรื่องที่ไม่ดี จงอย่าคิดว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา? ทำไมเรื่องอย่างนี้จึงต้องเกิดขึ้นกับเรา ? จงอย่าคิดอย่างนั้นเป็นอันขาด เพราะยิ่งคิดเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งจะเป็นทุกข์เท่านั้น ความคิอย่างนั้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
5. คงคิดอย่างนี้เสมอว่า ไม่เรื่องดีก็เรื่องเลวเท่านั้นแหละที่จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ต้องตื่นเต้นกับมันจงยอมรับมัน กล้าเผชิญหน้ากับมัน และทำจิตให้อยู่เหนือมัน ด้วยการไม่ยึดมั่นในมันและไม่อยากจะให้มันเป็นไปตามใจของท่าน แล้วท่านก็จะไม่เป็นทุกข์
6. ขอเฝ้าสังเกตดูความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ ถ้าจะไม่สบายใจ จงหยุดคิดเรื่องนั้น ทันทีถ้าสบายใจอยู่ ก็จงเตือนตัวเองว่า อย่าประมาท ระวังสิ่งที่มันจะทำให้เราไม่สบายใจจะเกิดขึ้นกับเรา ให้ท่านพร้อมรับ เป็นอย่างนี้ด้วยจิตที่เปิดกว้างอยู่เสมอ
7. ถ้าจะเกิดความสงสัยอะไรขึ้นสักอย่างหนึ่ง ก็จงตอบตัวเองว่า อย่าเพิ่งสงสัยมันเลย จงทำจิตใจให้สงบ และเพ่งให้เห็นความสะอาดบริสุทธิ์ ภายในจิตของตัวเองอย่างชัดเจน และสรุปว่า ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการเข้าถึงสภาวะแห่งความสงบ และเป็นอิสระเสรีภายในจิตของท่านได้
8. ความรู้จักในการรักษาจิตให้สงบและสะอาดอยู่เสมอ นี่แหละ คือ สติปัญญาความรู้แจ้งธรรมความเป็นจริง ความทุกข์จะเกิดขึ้นในใจของท่านไม่ได้เลย
9. จงเข้าสมาธิความสมควรแก่เวลาที่เอื้ออำนวย ไม่ต้องปรารถนาจะเห็น หรือจะได้ จะเป็นอะไรจากการทำสมาธิ และเมื่อจิตสงบเย็นแล้ว จึงเพ่งพิจารณาชีวิตสิ่งแวดล้อม และปัญหาที่ตัวเองกำลังประสบอยู่แล้ว สรุปว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเลย
10. จงทำกับปัญหาทุกอย่างให้ดีที่สุด ใช้ปัญญาแก้ไขมัน ไม่ต้องวิตกกังวลกับมัน ถึงเวลาแล้ว จงเข้าสู่สมาธิ ได้เวลาแล้ว จงออกมาสู้กับปัญหาอย่างนี้เรื่อยไป และจงปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน แล้วจิตของท่านก็จะบรรลุถึงความสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์สูงสุดในสักวันหนึ่งซึ่งไม่นานนัก

ที่มา : dhammajak.net

วิธีง่าย ๆ 10 ข้อ ในการเพิ่มความสุข

วิธีง่าย ๆ  10  ข้อ  ในการเพิ่มความสุข


1. นักจิตวิทยาแนะให้คุณตระหนักว่า  ความสุขที่ยั่งยืนไม่มีสูตรสำเร็จที่จะสร้างขึ้นมาได้  แต่มนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ของเราได้  ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน  เราก็สามารถมีความสุขได้  จริงอยู่ว่าความยากจนไม่มีจะกินทำให้เกิดทุกข์  แต่คนที่รวยล้นฟ้า  ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีความสุขเสมอไป


2. ต้องควบคุมตารางเวลาของตนเอง  เพราะคนที่มีความสุขจะรู้สึกว่าชีวิตอยู่ในกำมือตัวเอง  แบ่งเวลาออกเป็นส่วน ๆ  ตามเป้าหมายว่า  วันนี้จะทำอะไรบ้าง  เช้าทำอะไร  เย็นทำอะไร  แล้วก็ทำตามที่ท่านเองวางแผนไว้  แล้วก็จะรู้สึกว่า  เราทำอะไร ๆ  ได้มากมาย


3. ทำตัวให้มีความสุข  ซึ่งก็ทำได้ง่าย ๆ  ด้วยการยิ้ม  นักจิตวิทยาพบว่า  เมื่อเรายิ้ม  เราจะรู้สึกมีความสุขขึ้น  ถ้าเราหน้าบึ้ง  ก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่เลย  เพราะฉะนั้นอยากมีความสุขก็ให้ยิ้มเข้าไว้


4. หางานหรือกิจกรรมที่ชอบทำในเวลาว่าง  ให้ได้ใช้ทักษะของคุณเอง  เช่น  ทำงานฝีมือหรือจัดแต่งสวนหน้าบ้าน  กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีสมาธิ  เพลิดเพลิน  รู้สึกอยากทำงานให้สำเร็จ  ลืมสนใจอย่างอื่น  จนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ซึ่งไม่ต้องรอให้มีเวลาว่าง  ในการทำงานทุก ๆ วันของคุณผู้ฟัง  ก็สามารถทำได้  โดยการเปลี่ยนงานน่าเบื่อให้มีเป้าหมายว่า  แต่ละชั่วโมงจะทำอะไรให้เสร็จบ้าง  แล้วก็มุ่งมั่นทำให้ได้จะช่วยให้เราทำงานอย่างมีความสุข


5. ออกกำลังกายเป็นประจำ  เช่น  เล่นกีฬา  หรือเต้นแอโรบิคอยู่กับบ้านก็ได้  ซึ่งการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายนั้น  นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว  ยังสามารถบำบัดอาการซึมเศร้าทางจิตและความวิตกกังวลได้ด้วย  เพราะจิตใจที่แจ่มใสย่อมอยู่คู่กับร่างกายที่แข็งแรง


6. พักผ่อนให้เพียงพอ  คนที่มีความสุขนั้นนอกจากจะเป็นคนสดชื่นกระปรี่กระเปร่าแล้ว  ถึงเวลาพักก็ต้องพักเต็มที่เพื่อเติมพลัง  ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะรู้สึกอ่อนเพลีย  เฉื่อยชาและอารมณ์เสียง่ายอีกด้วย


7. ให้ความสำคัญกับคนใกล้ชิด  เวลาเราเหงาหรือทุกข์ใจ  ยาขนานเอกก็คือการมีใครสักคนมาใกล้ชิดและห่วงใยเราอย่างแท้จริง    อย่าลืมทะนุถนอมความสัมพันธ์ด้วยการแสดงความรักให้อีกฝ่ายรับรู้  อย่าคิดว่าอยู่กันมานานรู้ใจกันอยู่แล้ว  หมั่นแสดงน้ำใจต่อคนใกล้ชิดเหมือนที่ท่านแสดงความมีน้ำใจกับผู้อื่น  ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันและเติมความรักอยู่เสมอ


8. นักจิตวิทยาแนะว่า  ให้ใส่ใจผู้อื่นให้มากกว่าตัวเอง  มองข้ามความต้องการของตัวเองไปบ้าง  แล้วดูว่าผู้อื่นต้องการอะไร  ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากคุณหรือไม่  เพราะการทำความดีโดยการช่วยเหลือผู้อื่น   ทำให้ผู้อื่นมีความสุข  ก็จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ  และมีความสุขตามไปด้วย


9. หันมามองและตระหนักถึงสิ่งดี ๆ  ในชีวิตที่คุณมีอยู่และมักจะมองข้ามไป  เช่นสุขภาพที่แข็งแรงของคุณ  เพื่อน ๆ  ที่หวังดี  ครอบครัวที่อบอุ่น  คนที่จดจำและซาบซึ้งกับสิ่งดี ๆ  ในชีวิตจะมีความสุขมากขึ้นได้


10. สร้างศรัทธาในศาสนาเอาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ  ผลจากการวิจัยพบว่าผู้ที่
ศรัทธาในศาสนาใดก็ตามจะปรับตัวกับเรื่องร้าย ๆ  ในชีวิตได้ดีกว่า  รู้สึกว่าชีวิตเรามีความหมาย  ชอบช่วยเหลือผู้อื่น  และแน่นอนว่ามีความสุขในชีวิตมากกว่า


นี่ก็คือวิธีง่าย ๆ  10  ข้อ  ในการเพิ่มความสุขให้แก่คุณ  ลองนำไปปฏิบัติ  และคุณก็จะเห็นว่าความสุขอยู่ใกล้มือเราเอง

ไฮไลต์ 10 ที่เที่ยว ปีใหม่ ไปไหนดี?



ผาชะนะได
นับถอยหลังอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่สากล 1 มกราคม พ.ศ.2556

เทศกาลแห่งความสุขที่ทุกคนต่างตั้งตาคอย เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวที่ครอบครัว เพื่อนฝูง และญาติพี่น้องจะได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาร่วมกันเฉลิมฉลองในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญตักบาตร การขอพรจากผู้ใหญ่ การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์

แต่นอกจากกิจกรรมข้างต้นแล้วยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ การเดินทางท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรัก เพื่อพักผ่อนหย่อนใจเปลี่ยนบรรยากาศและเตรียมตัวเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต และในโอกาสนี้ "มติชน" ขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่ถือเป็นไฮไลต์ 10 แห่งทั่วประเทศ

1.ไหว้พระขอพรเสริมสิริมงคล 4 เส้นทาง ได้แก่ 1."ไหว้พระเสริมสิริมงคล 9 พระอารามหลวง" ซึ่งประกอบด้วย วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เพื่อให้จิตใจสะอาดดุจพระรัตนตรัย, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เพื่อให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุข, วัดสุทัศนเทพวราราม เพื่อให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล, วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อให้พบแต่สิ่งดีงาม, วัดชนะสงคราม เพื่อให้มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง, วัดสระเกศ เพื่อเสริมสร้างความคิดอันเป็นสิริมงคล, วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) เพื่อให้ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน, วัดระฆังโฆสิตาราม เพื่อให้มีชื่อเสียงโด่งดัง, วัดกัลยาณมิตร เพื่อให้เดินทางปลอดภัย

นอกจากนี้ ยังมีอีก 3 เส้นทางคือ "ไหว้กษัตริย์ 9 พระองค์", "ไหว้พระ 9 รัชกาล" และ "ไหว้พระ 9 วัด ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา" เพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตในปีใหม่ด้วยความสุขสงบทางใจและสติปัญญาในการใช้ชีวิต โดยสามารถรับคู่มือรายละเอียดเส้นทางทั้งหมดได้ที่ "การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย" สำนักงานใหญ่

2.อร่อยดีกินฟรีทั้งตลาดที่ตลาดสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดน้ำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศ มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปี และแสดงให้เห็นพลังของคนในท้องถิ่นที่ร่วมมือกันหาทางอนุรักษ์ จนกระทั่งฟื้นคืนชีวิตให้กับชุมชนได้อีกครั้งโดยใช้กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นเครื่องมือสำคัญ

โดยกิจกรรมอร่อยดีกินฟรีทั้งตลาดจะจัดขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป โดยลูกค้าจะต้องซื้อภาชนะในตลาดร้อยปีสามชุก ซึ่งจัดจำหน่ายในราคา 20 บาท จากนั้นสามารถนำไปใส่อาหารรับประทานฟรีได้ทั้งตลาด

(บน) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ลาง) สามชุก ตลาดร้อยปี


3.เทศกาลกินปลาและของดีจังหวัดสิงห์บุรี ครั้งที่ 18 ซึ่งมีชื่อเสียงและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้านอาหารโดยเฉพาะปลาแม่น้ำที่มีหลากหลายชนิดซึ่งมีเมนูขึ้นชื่อคือ "ปลาช่อนแม่ลา" โดยภายในจะมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ การทำหัวปลาต้มเผือกหม้อไฟยักษ์, การประกวดหุ่นปลาสวยงาม ตลอดจนมหรสพต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม ถึง 3 มกราคมนี้ ที่ศาลากลางจังหวัดสิงห์บุรี อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี

4.รับตะวันที่ผาชะนะได ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ริมฝั่งตะวันออกสุดของประเทศไทย ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้ชื่อว่าเป็นจุด "รับตะวันก่อนใครในสยาม" ดึงดูดใจด้วยหน้าผาที่ยื่นออกไปรับลมบนที่สูง อากาศหนาวเย็นปกคลุมด้วยป่าสนสองใบ และมีทิวทัศน์งดงาม

โดยตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม ถึง 1 มกราคมนี้จะมีพิธีตีกลองส่งตะวันปีเก่าและต่อแสงตะวันรับปีใหม่ พร้อมทั้งพิธีผูกข้อมือรับขวัญปีใหม่ โดยชาวบรู ชาวพื้นเมืองบ้านท่าล้ง อำเภอโขงเจียม อีกทั้งยังมีพิธีบวชต้นไม้ พร้อมรับศีลรับพรและธรรมยาตราสู่ผาชะนะได

5.ไหลโคมล่องโขง ตามความเชื่อที่ว่าการไหลโคมไฟล่องแม่น้ำโขงจะเป็นการลอยสิ่งที่ไม่ดี รวมทั้งเคราะห์โศกต่างๆ ไปกับโคมไฟหรือเส้นผมที่ใส่ลงในโคมล่องแม่น้ำโขงที่ไหลเป็นจุดสุดท้ายก่อนออกจากประเทศไทย เพื่อรับความโชคดีในวันขึ้นปีใหม่ที่จะมาถึง โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม ถึง 3 มกราคมนี้ที่สวนสาธารณะดอนหินตั้ง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

6.รับอรุณเบิกฟ้า วันปีใหม่ ณ พนมรุ้ง ที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งภายในประกอบด้วยโบราณสถานสำคัญคือ ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ดังนั้น ปรางค์ประธานบนยอดจึงเปรียบเสมือนวิมานที่ประทับของพระศิวะ

ทั้งนี้ กิจกรรมรับอรุณเบิกฟ้าวันปีใหม่ ณ พนมรุ้ง จะเริ่มตั้งแต่เช้าเวลา 05.30 น.โดยขบวนกองบุญจะร่วมกันเดินขึ้นเขาพนมรุ้งเพื่อขอพรพระศิวะ ไหว้พระเมตตาพนมรุ้ง และพิธีบวงสรวงเทวาลัย บริเวณเสานางเรียง

7.อะเมซิ่งโรงเกลือแกรนด์เซลล์ ที่ตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา และถือเป็นแหล่งรวมเสื้อผ้ามือสองและข้าวของเครื่องใช้แหล่งใหญ่และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม ถึง 1 มกราคมนี้จะมีมหกรรมลดราคาสินค้า 20-50 เปอร์เซ็นต์ จากร้านค้าภายในตลาดโรงเกลือและศูนย์การค้าอินโดจีน กว่า 1,000 ร้านค้า นอกจากนี้ ยังมีการแสดงวัฒนธรรมสองแผ่นดิน "ไทย-กัมพูชา" รวมทั้งกิจกรรมนับถอยหลัง "ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่"

(บน) วัดไทยวัฒนาราม multiply.com.jpg (ล่าง) เหมืองปิล็อก www.thailandoffroad.com.jpg



8.เคานต์ดาวน์ที่เหมืองปิล็อก บ้านอีต่อง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งพื้นที่นี้ในอดีตเคยเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่ผู้คนต่างเดินทางมาแสวงโชคด้วยการทำเหมืองแร่ แต่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปเหมืองแร่ กว่า 50 แห่ง ก็ต้องปิดตัวลงราวปี พ.ศ.2529 และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความสวยงาม ประกอบกับวิถีชีวิตผู้คนที่มีความหลายหลาย

ทั้งนี้ "งานสัมผัสอากาศเย็นเด่นในตำนานเหมืองแร่ปิล็อก" จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 30-31 ธันวาคมนี้ โดยภายในงานจะมีกิจกรรมเที่ยวชมธรรมชาติ ขุนเขาและสายหมอก, ชมอุโมงค์การทำเหมืองขุดในอดีต, นิทรรศการ 4 หมู่บ้านพื้นถิ่น ได้แก่ โบอ่อง, อีกต่อง, ชุมชนเนปาล และชุมชนพม่า รวมทั้งการแสดงของชนพื้นเมืองกะเหรี่ยง, พม่า และกิจกรรมนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่

9.งานประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่า ณ วัดไทยวัฒนาราม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของวิถีชีวิตของผู้คนและการค้าขายริมชายแดนไทย-พม่า ซึ่งในวันที่ 1-2 มกราคมนี้มีกิจกรรมหลากหลายโดยเฉพาะกิจกรรมด้านวัฒนธรรม อาทิ การเดินขบวนแต่งกายชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในอำเภอแม่สอด ประกอบด้วย ชาวไทยใหญ่, ชาวกะเหรี่ยง, ชาวพม่า, ชาวปะโอ และชาวปะหล่อง, การสาธิตทำข้าวแดง, ข้าวยาคู ตลอดจนการแสดงชนเผ่าของแต่ละชนเผ่า

10."มหัศจรรย์กลางตาปี ตีระฆังข้ามปี ที่สะพานจุลฯ" ณ สะพานจุลจอมเกล้า ซึ่งเป็นสะพานสำคัญที่สุดในเส้นทางสายใต้สร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2496 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสะพานเหล็ก 3 ช่วง รวมความยาวทั้งสิ้น 200 เมตร นับเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศและของคนในท้องถิ่น

ภายในงานตั้งแต่วันที่ 30-31 ธันวาคม มีกิจกรรมความรู้ควบคู่ความบันเทิง อาทิ การถ่ายทอดเรื่องราวของจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ "พิพิธเมืองคนดี", นิทรรศการภาพถ่ายในอดีตและกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์คือ การตีระฆังข้ามปีกลางแม่น้ำตาปีที่สะพานจุลจอมเกล้า ตามความเชื่อที่ว่าการตีระฆังจะเป็นมงคลและทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังขจรกระจาย

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวมากมายทั่วเมืองไทยในงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่แห่งปี มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ การไหว้พระทำบุญ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ตลอดจนการจับจ่ายหาซื้อสินค้าและอาหาร

ถือว่าพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง...

ขอบคุณที่มาจาก มติชนออนไลน์

"เมื่อกรูไม่กลัวเมิง" คอลัมน์ชายตาหาข้าวเปลือก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 21-27 ธันวาคม 2555

"เมื่อกรูไม่กลัวเมิง" คอลัมน์ชายตาหาข้าวเปลือก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 21-27 ธันวาคม 2555
คนเราทุกข์เพราะมาจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ นั่นคือ ความกลัว และ ความอยาก!!

อยากได้นั่นได้นี่ อยากเป็นอย่างนั้น อยากได้คนนั้น อยากได้ของสิ่งนี้ มันก็ทุกข์จริงไหม นอนไม่หลับบ้าง เฝ้าละเมอเพ้อพกว่าเมื่อไหร่เราจะได้มาเป็นเจ้าของเสียที

ไม่ใช่แค่สิ่งของที่จับต้องได้หรอกนะ อยากดัง อยากเด่น อยากให้เขารัก อยากเลื่อนตำแหน่ง อยากมีอำนาจ อยากให้คนยอมรับนับถือ ลองคิดดูว่าเวลาที่เรา "อยาก" เราทุกข์ไหม

อีกอย่างก็คือ "ความกลัว"

กลัวไม่มีงานทำ กลัวเขาไม่รัก กลัวป่วย กลัวพ่อแม่ตาย กลัวไม่มีชื่อเสียง กลัวจน กลัวแฟนไปมีคนอื่น กลัวไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง กลัวงานออกมาไม่ดี กลัวลูกค้าไม่ปลื้ม แม้แต่กลัวผีก็ตาม!!

เวลากลัวมันก็ทุกข์



มนุษย์เราเลยพยายามเอาชนะความกลัวของตัวเองและความไม่แน่นอนของชีวิตด้วยการทำพิธีกรรมต่างๆ นานา เพราะอย่างน้อยมันจะเป็นสิ่งช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นการเสริมความกำลังใจให้ตัวเอง อย่างน้อยก็เพิ่มความมั่นใจในการดำเนินชีวิตต่อไป

อย่างเช่น เรากลัวราหูเข้า เราไม่รู้ว่าราหูจะทำอะไรเราได้บ้าง รู้แต่ว่าเรากลัว เราก็จะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เซ่นไหว้ราหู กลัวไม่ร่ำรวย ก็ไปไหว้พระขอพระ ขอเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นชื่อว่าให้เรื่องเงินทองไหลมาเทมา กลัวเจ็บป่วยก็หาว่าพระองค์ใด เทพองค์ไหนจะช่วยได้ หรือไม่ก็ทำพิธีกรรมเสริมดวงกันไป

มันเกิดจากความกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวในสิ่งที่จับต้องไม่ได้ กลัวสิ่งที่เคยมีเคยเป็นมันจะหายไป กลัวความไม่แน่นอนของชีวิต

พ่อแม่เคยอยู่กับเรา พอเขาป่วย นอกจากจะรักษากันเต็มที่แล้ว ที่ไหนว่าดี ไหว้แล้วหาย เราก็จะไม่รีรอ หรือกลัวแฟนไม่รัก กลัวสามีไม่หลง เขาให้ไปไหว้อะไรก็ไปไหว้

บางครั้งเราต้องเสียเงินทองไปมากมาย เสียเวลาเดินทาง แต่บางคนก็ยอมแลกเพื่อความสบายใจนั่นเอง!

แต่มีอีกทางเลือกหนึ่ง นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุแล้ว เพราะการไปไหว้นั่นไหว้นี่ เป็นการที่เราจะพยายามเอาชนะความเปลี่ยนแปลงในชีวิต เราต้องการคำว่าเหมือนเดิม ขอให้รวยเหมือนเดิม ดังเหมือนเดิม สวยเหมือนเดิม สุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม มีอำนาจเหมือนเดิม

ถามกันแบบซื่อๆ และตรงไปตรงมาว่า ในโลกนี้มันมีอะไรเหมือนเดิมและคงอยู่ตลอดไปหรือไม่

ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง...



อีกทางที่เราทำได้นั่นคือการตั้งสติเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง

ไม่ใช่การยอมแพ้ ไม่ใช่การยอมจำนนกับชะตากรรม แต่เราต้องรู้จักการปล่อยวางและยอมรับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตเมื่อเราทำดีที่สุดแล้วต่างหาก

เวลาเรากลัวอะไร เราจะตกเป็นทาสมันเสมอ มันจะมีอำนาจเหนือเรา และคอยกุมหัวใจเราเอาไว้ เรากลัวเมื่อไหร่ มันก็พร้อมที่บีบหัวใจเราเมื่อนั้น ยิ่งกลัวมากยิ่งบีบแรง

เมื่อไม่อยากให้ใครหรืออะไรมาบีบหัวใจเราตลอดเวลา เราจึงอยากลุกขึ้นต่อสู้ และการหาวิธีเอาชนะความกลัวจึงเกิดขึ้น...

เมื่อกลัวว่าจะเกิดอะไรกับชีวิต ให้คิดถึงมันไปเลย มันเป็นการเผชิญหน้ากับความกลัวอย่างกล้าหาญ แม้จะต้องเจ็บปวดใจที่ต้องคิดถึงมัน แต่อย่าลืมว่า ไม่วันใดวันหนึ่งมันก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตเราอยู่ดี

เวลาคิดขอให้คิดถึงสิ่งที่มันเลวร้ายที่สุดที่มันจะเกิดขึ้น เมื่อกล้าจะเผชิญหน้ากับมัน เราต้องเจอกับตัวพ่อตัวแม่ความกลัวมันซะเลย เพราะถ้าคิดกระย็อกกระแย็กแบบกั๊กๆ เราก็เอาชนะมันไม่ได้สักที



กลัวอะไรที่เกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง...

ไม่อยากให้อะไรเกิดกับตัวเองบ้างล่ะ....

กลัวพ่อแม่ตาย กลัวตัวเองป่วย กลัวยากจน กลัวไม่มีชื่อเสียง กลัวแฟนทิ้ง กลัวลูกจะเป็นอะไร กลัวไม่มีตำแหน่งใหญ่โตไม่มีอำนาจอีกแล้ว กลัวไม่ประสบความสำเร็จ กลัวคนไม่ยอมรับ กลัวอะไรคิดกันออกมา

เมื่อเราคิดไปจนถึงจุดที่กลัวที่สุดของก้นบึ้งหัวใจเราแล้ว เมื่อเราตั้งสติและคิดถึงมันอย่างถ่องแท้ เราจะรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่เราปรุงแต่งขึ้น มันเป็นเปลือกนอก

และเราไม่สามารถจะควบคุมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด

แล้วเราจะกลัวมันทำไมในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นธรรมชาติ เมื่อตอนไม่มีเรายังอยู่ได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาเรายึดติดกับสิ่งที่เราเคยมีเท่านั้น

และเมื่อมีสติ ขอให้ลองคิดถึงภาพของตัวเองแบบชัดเจนเลยว่า ถ้าเราไม่มีคนที่เรารักหรือสิ่งที่เรารักแบบที่เคยมีแล้ว เราจะเป็นอย่างไร เราจะอยู่อย่างไร เราจะทำใจอย่างไร เราจะบอกกับตัวเองอย่างไร เราจะลุกขึ้นและให้กำลังใจตัวเองวิธีไหน

คิดเตรียมพร้อมไว้เลย คิดไตร่ตรองแบบใช้สติ

และเราจะได้ไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต และถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นจริงๆ เราจะตั้งสติรับมือกับมันได้ทัน

มันจะย้อนกลับมาสู่ชีวิตในปัจจุบันของเรา เราจะพยายามทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เราจะวางแผนมันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เราจะรู้จุดมุ่งหมายของชีวิต และเราจะไม่ประมาทกับชีวิตของเรา

ที่สำคัญเราจะหายกลัวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิต และให้เราคลายจากสิ่งที่เรายึดติดมาตลอด

เห็นไหมว่าเรามีเรื่องที่ต้องเอาชนะกับมันมากมาย ไม่ต้องเสียเวลาไปเอาชนะใครหรือสู้กับใคร แค่สู้กับตัวเองก็จะไม่รอดอยู่แล้ว...
ขอบคุณที่มาจาก มติชนออนไลน์

ฉายาดาราปี 55

ฉายาดาราปี 55
“อั้ม ซุป’ตาร์เกษียณเต้า”, “พลอย ปากปลาร้าหน้าเป๊ะ”, “วู้ดดี้ จำอวดหน้าม่าน”

ฉายาดาราประจำปี 2555 ที่สมาคมนักข่าวบันเทิง จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 มีตัวแทนนักข่าวจาก 18 สำนัก เสนอฉายากว่า 160 ฉายา ครอบคลุมดารา 42 คน จากทั้งวงการ โดยดูจากพฤติกรรมและข่าวคราวเป็นหลัก วันนี้ได้มีการสรุปผลเป็นเอกฉันท์ออกมาแล้วโรงเรียนแซบเวอร์ ส่วน 10 หนุ่ม-สาวคนดังที่ตบเท้าเข้ามารับฉายาต่างๆ จะมีใครกันบ้างไปดูกันเลย
      
       1.อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ฉายา ซุป’ตาร์เกษียณเต้า 
       ที่ผ่านมา ถือว่า อั้ม-พัชราภา เป็นตัวแม่สุดเซ็กซี่ของวงการบันเทิง แถมยังเดินสายกวาดรางวัลเซ็กซี่จากหลายเวที ล่าสุด อั้ม ประกาศงดรับรางวัลแนวนี้จากทุกเวที ทำเอาหนุ่มๆ แอบเสียดาย
      
       2.แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ ฉายา หมีทำมึน
       ปกตินางเอกสาวแพนเค้ก ถือว่าเป็นขวัญใจนักข่าว เพราะให้สัมภาษณ์ทุกคน แต่จะมีลักษณะแอบตีมึน ตอบเลี่ยงโดยเฉพาะเรื่องความรักกับสารวัตรหมี จนเป็นที่มาของฉายานี้
      
       3.ตั๊ก-บงกช คงมาลัย ฉายา อึ๋มหมื่นล้าน
       ถือว่าเป็นนางเอกสาวที่ได้ฉายามาเกือบทุกปี อย่างที่ผ่านมา ได้ฉายา “อึ๋มผ่าซาก” แต่มาปีนี้ด้วยความที่เธอประกาศหมั้นกับเจ้าสัวบุญชัย ที่รวยระดับหมื่นล้าน เธอจึงได้ฉายานี้ไปครองแบบไร้คู่แข่ง
      
       4.พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ฉายา ปากปลาร้าหน้าเป๊ะ
       จากวีรกรรมของนางเอกหน้าสวย หน้าเป๊ะ แต่ในปีที่ผ่านมา เธอกลับมีข่าวฉาว และแรงในการใช้คำพูดโดยไม่คิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลี่ยงภาษี เหวี่ยงสื่อ มีปัญหากับออแกไนเซอร์ แม้แต่เด็กเสิร์ฟ พลอยก็ฉะมาแล้วกับทุกคน
      
       5.เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ฉายา สวยชิ่งสื่อ
       เป็นนางเอกอีกคนที่มีงานอีเวนต์รุมตลอดปี แต่เมื่อนักข่าวจะขอสัมภาษณ์ เรื่องข่าวที่เป็นประเด็นและเรื่องความรัก เจนนี่มักเอ่ยปากบอกตั้งแต่ต้นว่า “สัมภาษณ์เฉพาะเรื่องงานนะคะ” ก่อนจะแหวกวงนักข่าวหายไปแบบเชิดๆ
      
       6.โดม ปกรณ์ ลัม ฉายา เสียเหลี่ยมหล่อ
       เป็นหนุ่มหล่อขั้นเทพ ที่ไม่เคยเสียเหลี่ยมให้ใคร แต่ล่าสุดต้องจนมุมยอมง้อแฟนสาว กัสจัง จนหลายคนมองว่าหล่อระดับเทพ กลับเสียหน้าให้แฟนสาวสุดแบ๊ว
      
       7.มิน-พิชญา วัฒนามนตรี ฉายา คาสโนวี่ปากเปื่อย
       นางเอกรุ่นใหม่มาแรง ที่มีข่าวฮอตกับหนุ่มๆ ร่วมช่อง ต่างช่อง และศิลปินนักร้อง รวมถึงผลงานละครที่ผ่านมาหลายๆ เรื่องที่ใจถึงยอมจูบจริง เธอจึงได้รับฉายานี้ไปครอง
      
       8.วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ฉายา จำอวดหน้าม่าน
       เป็นเจ้าของรายการและพิธีกรที่เปิดโอกาสให้คนบันเทิงที่มีข่าวร้อนๆ มาแก้ต่างในรายการ แม้กระทั่งคู่กรณีของตัวเอง อย่าง พลอย เฌอมาลย์ / มดดำ คชาภา ฯลฯ จนหลายคนวิจารณ์เหมือนดูละครมากกว่าเรื่องจริง
      
       9.บ๊วย-เชษฐวุฒิ วัชรคุณ ฉายา โล้นดีแตก
       ลักษณะที่หลายคนจำได้ ก็คือ เป็นนักแสดงหัวโล้น อารมณ์ดี รักครอบครัว แต่ข่าวที่ผ่านมาก็ทำเอาหลายคนช็อกกับการประกาศหย่ากับ ตุ๊ก ชนกวนันท์ ที่เพิ่งคลอดลูกคนที่ 2 ได้แค่ 2 เดือน แถมก่อนหน้านั้น ยังมีข่าวกับสาวอื่น กลายเป็นนักแสดงดีแตกของวงการ
      
       10.ใบเตย อาร์สยาม ฉายา สั้นเสมอหู
       ใบเตย เป็นลูกทุ่งสาวยุคใหม่ ที่ขยันโชว์เรียวขาให้เป็นข่าว ไม่ว่าจะออกงานที่ไหน ก็นุ่งสั้นจนเห็นกางเกงใน กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว

ขอบคุณที่มาจาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

ตารางแคลอรี่อาหาร

แคลอรี่ในอาหารว่าง และของหวาน

**อาหารว่าง**
อาหาร ปริมาณ แคลอรี่
สาคูไส้หมู 6 ลูก 168
กุยช่าย 3 อัน 159
ทอดมัน 5 ชิ้น 185
ก๋วยเตี๋ยวหลอด 2 อัน 100
กะหรี่พัฟ 1 ตัว 156
ข้าวต้มผัด 1 ห่อ 197
มันฝรั่งทอด 10 ชิ้น 155
แฮมเบอร์เกอร์ 1 อัน 283
บะหมี่สำเร็จรูป 1 ห่อ 237
กล้วยแขก 5 ชิ้น 253

---------------------------------------

**ของหวาน**

1 กล้วยไข่เชื่อมกล้วย 2 ผล 177
2 ฟักทองเชื่อม 1 จานเล็ก 167
3 มันเทศเชื่อม 1 จานเล็ก 230
4 เผือกเชื่อม 1 จานเล็ก 220
5 กล้วยต้มจิ้มมะพร้าว 1 จานเล็ก 180
6 ฟักทองนึ่งโรยมะพร้าว 1 จานเล็ก 188
7 ข้าวโพดคลุก 1 จานเล็ก 156
8 ลอดช่องน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 116
9 แมงลักน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 112
10 เผือกน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 162
11 ข้าวตอกน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 112
12 ข้าวเม่าน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 112
13 ข้าวเหนียวดำน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก325
14 บัวลอย 1 ชามเล็ก 223
15 สาคูบัวลอย 1 ชามเล็ก 162
16 ปาท่องโก๋ 1 ตัว 124
17 ฝอยทอง 1 แพ 146
18 เม็ดขนุน 5 เม็ด 174
19 สังขยา 2"x2" 204
20 สังขยาฟักทอง 2"x2" 288
21 สังขยาเผือก 2"x2" 222
22 สังขยาขนุน 2"x2" 256
23 ขนมหม้อแกงถั่ว 2"x2" 179
24 ขนมหม้อแกงเผือก 2"x2" 174
25 ข้าวเหนียวมูลกระทิ 1 จานเล็ก 197
26 ข้าวเหนียวหน้าสังขยา 1 จานเล็ก 223
27 ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง 1 จานเล็ก 179
28 ข้าวเหนียวหน้ากระฉีก 1 จานเล็ก 202
29 กล้วยฉาบ 7 ชิ้น 200
30 มันรังนก 2 ก้อน 95
31 ฟักทองแกงบวช 1 ชามเล็ก 165
32 มันแกงบวช 1 ชามเล็ก 184
33 กล้วยบวชชี กล้วย 5 ชิ้น 152 3
4 ข้าวเหนียวดำเปียก 1 ชามเล็ก 205
35 เผือก-มะพร้าวเปียก 1 ชามเล็ก 199
36 เต้าส่วน 1 ชามเล็ก 215
37 ขนมน้ำดอกไม้ 9 ชิ้น 190
38 ขนมเหนียว 1 จานเล็ก 314
39 ขนมต้มแดง 1 จานเล็ก 197
40 ขนมต้มขาว 12 ลูก 352
41 ขนมเปียก 1 จานเล็ก 128
42 ขนมเปียกปูนขาว 1 จานเล็ก 179
43 ขนมเปียกปูน 1 จานเล็ก 195
44 ขนมเล็บมือนาง 1 จานเล็ก 275
45 ขนมถั่วแปบ 3 ตัว 432
46 ขนมกล้วย 2"x2" 57
47 ทองหยิบ 2 ดอก 210
48 ขนมครก 1 คู่ 92
49 เต้าส่วน 1 ถ้วยเล็ก 215
50 เฉาก๊วย 1 ถ้วยตวง 18
51 มันทอด 2ชิ้น 248
52 กล้วยแขก 5ชิ้น 252
53 ข้าวเม่าทอด 2ใบ 418
54 ขนมฝักบัว 2ชิ้น 140
55 ไข่หงษ์ ใบเล็ก 11ใบ 174
56 ไข่นกกระทา 1 จานเล็ก 191
57 ถั่วทอด 2 อัน 163
58 ขนมทอง 8 วง 165
59 ครองแครงกรอบเค็ม 22 ตัว 425
60 ขนมเกลียว 11 ตัว 276
61 สัมปะนี 10 ชิ้น 210
62 ขนมสาลี่ 2"x2" 116
63 ทองม้วน 4" 9 ชิ้น 320
64 สาลี่กรอบ 2"x2" 138
65 ขนมบ้าบิ่น 2"x2" 130
66 ขนมผิง 27 ก้อนเล็ก 128
67 ขนมหน้านวล 4 ชิ้น 87
68 ขนมกลีบลำดวน 5 ชิ้น 115
69 กะหรี่พัฟ 1 ตัว 157
70 ขนมปังขาว 1 แผ่น 68
71 ขนมปโฮล์วีท 1แผ่น 58
72 ช๊อคโกแลต 28 กรัม 135
73 ขนมปังแครกเกอร์ 1 แผ่น 52
74 แพนเค้กผสมนมไข่ 1 ชิ้น 55
75 พายเชอรี่ 1/7 153 กรัม 353
76 เค้ก 1 ชิ้น 235
77 ครัวซอง 1 อัน 235
78 ไอศกรีม 1 ถ้วย 300


-----------------เพิ่มเติม

กระทงทอง ไส้ไก่ ซอสขาว 3 ชิ้น 280 kcal
กระทงทองไส้ข้าวโพด 3 ชิ้น 215 kcal
กระท้อนทรงเครื่อง 1 ผล 205 kcal
กระยาสารท 1x3 นิ้ว 210 kcal
กล้วยแขก 3 ชิ้น 255 kcal
กล้วยไข่เชื่อม 1 จาน(2ผล) 177 kcal
กล้วยคลุกมะพร้าว 1 ถ้วย 100 kcal
กล้วยฉาบ 9 ชิ้น 200 kcal
กล้วยต้มจิ้มมะพร้าว 1 จาน(2ผล) 180 kcal
กล้วยน้ำว้าปิ้ง 1 ผล 90 kcal
กล้วยบวชชี 1 ถ้วย 230 kcal
กล้วยปิ้งชุบกะทิ 1 ผล 145 kcal
กะละแม 3 ห่อเล็ก 195 kcal
กะหรี่พัฟ 2 ชิ้น 380 kcal
กุ่ยช่าย(นึ่ง) 1 อัน 140 kcal
เกี๊ยวกรอบ 3 ชิ้น 235 kcal
เกี๊ยวซ่า 3 ชิ้น 190 kcal
โก๋แก่รสต่าง ๆ 15 เม็ด 55 kcal
ไก่ทอด 1 น่อง 345 kcal
ไก่ย่าง 1 น่อง 165 kcal
ขนมกรวย 3 กรวย 190 kcal
ขนมกล้วย 2 ห่อ 240 kcal
ขนมขี้หนู 1 ถ้วย 165 kcal
ขนมเข่ง 1 กระทง 120 kcal
ขนมครก 2 คู่ 210 kcal
ขนมจีบ 3 ลูก 120 kcal
ขนมชั้น 2 ชิ้น 184 kcal
ขนมต้มขาว 4 ลูก 165 kcal
ขนมตาล 2 กระทง 115 kcal
ขนมถ้วย 2 ถ้วย 265 kcal
ขนมถั่วแปป 1 จาน(3ตัว) 43 kcal
ขนมเทียน 2 อัน 205 kcal
ขนมน้ำดอกไม้ 1 จาน(9ชิ้น)190 kcal
ขนมบ้าบิ่น 1 ชิ้น 130 kcal
ขนมเบื้องไทยไส้เค็ม 1 แผ่น 50 kcal
ขนมเบื้องไทยไส้หวาน 1 แผ่น 60 kcal
ขนมเบื้องญวณ 1 แผ่น 280 kcal
ขนมปังอบกรอบ 4 แผ่นเล็ก 80 kcal
ขนมปลากริมไข่เต่า 1 ถ้วย 250 kcal
ขนมเปียกปูน 1 ชิ้น 95 kcal
ขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว 2 ชิ้น 130 kcal
ขนมฝักบัว 2 ชิ้น 140 kcal
ขนมเล็บมือนาง 1 จานเล็ก 27 kcal
ขนมสอดไส้ 3 ห่อเล็ก 380 kcal
ขนมหม้อแกง 1 ชิ้น 179 kcal
ข้าวเกรียบกุ้ง 3 แผ่น 110 kcal
ข้าวเกรียบปากหม้อ 4 ชิ้น 205 kcal
ข้าวตังหน้าตั้ง 3 ชิ้น 280 kcal
ข้าวตังหมูหยอง 2 แผ่น 160 kcal
ข้าวต้มมัด 1 มัด 285 kcal
ข้าวแตน (ข้าวพองราดน้ำตาล) 1 แผ่น 150 kcal
ข้าวโพดคั่ว (เคลือบน้ำตาล) 1 ถ้วย 60 kcal
ข้าวโพดคลุก 1 จานเล็ก 156 kcal
ข้าวโพดต้ม 1 ฝักเล็ก 200 kcal
ข้าวเม่าทอด 2 ลูก 418 kcal
ข้าวหลาม 1 กระบอก 230 kcal
ข้าวเหนียวกะทิทุเรียน 1 ถ้วย 225 kcal
ข้าวเหนียวดำเปียก 1 ถ้วย 205 kcal
ข้าวเหนียวตัด 1 ชิ้น 210 kcal
ข้าวเหนียวมูลน้ำกะทิ 1 ชิ้นเล็ก 197 kcal
ข้าวเหนียวสังขยา 1 ห่อ 370 kcal
ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง 1 ห่อ 179 kcal
ไข่นกกระทา 11 ใบ 191 kcal
ไข่หงส์ 3 ใบ 174 kcal
ครองแครง 22 ตัว 425 kcal
ครองแครงกะทิ 1 ถ้วย 250 kcal
คัสตาร์ดน้ำตาลไหม้ 1 ชิ้น 230 kcal
จาวตาลเชื่อม 1 ลูก 190 kcal
เฉาก๊วย 1 ถ้วย 90 kcal
ช็อคโกแลต 1 ชิ้นพอคำ 170 kcal
ซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก 120 kcal
ซ่าหริ่ม 1 ถ้วย 275 kcal
ตะโก้แห้ว 3 กระทงเล็ก 235 kcal
เต้าส่วน 1 ถ้วย 215 kcal
เต้าหู้ทอด 3 ชิ้น 260 kcal
เต้าหู้นมสด 1 ถ้วย 150 kcal
เต้าฮวยน้ำขิง 1 ถ้วย 130 kcal
เต้าฮวยฟรุตสลัด 1 ถ้วย 150 kcal
ถั่วเขียวต้มน้ำตาล 1 ถ้วย 160 kcal
ถั่วแระต้ม 1 ช้อนโต๊ะ 25 kcal
ถั่วลิสงต้ม 1 ช้อนโต๊ะ 45 kcal
ถั่วลิสงแผ่นทอด 1 แผ่น 150 kcal
ทองหยิบ 2 ดอก 210 kcal
ทองม้วน 3 อันเล็ก 105 kcal
ทับทิมกรอบ 1 ถ้วย 250 kcal
ท๊อฟฟี่นม 1 เม็ด 20 kcal
ทุเรียนกวน 1 ช้อนโต๊ะ 115 kcal
ทุเรียนทอดกรอบ 7-8 ชิ้น 50 kcal
บะจ่าง 1 ลูก 300 kcal
บัวลอย 1 ถ้วย 223 kcal
บัวลอยน้ำขิง 1 ถ้วย 160 kcal
บัวลอยเผือก 1 ถ้วย 300 kcal
ป๊อปคอร์น 1 ถ้วย 65 kcal
ปอเปี๊ยะทอด 2 ชิ้น 315 kcal
ปอเปี๊ยะสด 1 ชิ้น 175 kcal
ปาท่องโก๋ 1 คู่กลาง 270 kcal
เผือกเชื่อม 1 จานเล็ก 220 kcal
เผือกน้ำกะทิ 1 ถ้วย 250 kcal
เผือกสอดไส้ทอด 1 ชิ้น 260 kcal
ฝอยทอง 1 แพ 146 kcal
เฟรนฟรายด์ (French Fried) 6 ชิ้น 220 kcal
ฟรุตสลัด 1 ถ้วย 180 kcal
ฟักทองแกงบวด 1 ถ้วย 185 kcal
ฟักทองเชื่อม 1 จานเล็ก 167 kcal
ฟักทองนึ่งโรยมะพร้าว 1 จานเล็ก 188 kcal
มะกอกแช่อิ่ม 5 ผล 135 kcal
มะกอกทรงเครื่อง 5 ผล 165 kcal
มะขามคลุก 6 เม็ด 10 kcal
มะดันแช่อิ่ม 1 ผล 60 kcal
มะม่วงน้ำปลาหวาน 5 ชิ้น 165 kcal
มะยมเชื่อม 5 เม็ด 135 kcal
มะยมหยี 5 เม็ด 135 kcal
มันแกงบวด 1 ถ้วย 184 kcal
มันทอด 2 ชิ้น 248 kcal
มันเทศเชื่อม 1 จานเล็ก 230 kcal
มันรังนก 2 ก้อน 95 kcal
มันสำปะหลังปิ้งชุบกะทิ 1 ชิ้น 165 kcal
มันฝรั่งแผ่นทอด (Chip) 6 ชิ้น 80 kcal
เม็ดขนุน 5 เม็ด 174 kcal
เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบเนย 8-10 เม็ด 110 kcal
เมล็ดแตงโมแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ 45 kcal
เมล็ดทานตะวันอบกรอบ 1 ช้อนโต๊ะ 45 kcal
เมล็ดฟักทองอบกรอบ 1 ช้อนโต๊ะ 55 kcal
เมี่ยงก๋วยเตี๋ยว 3 คำ 60 kcal
เมี่ยงคะน้า 3 คำ 60 kcal
เมี่ยงคำ 3 คำ 90 kcal
แมงลักน้ำกะทิ 1 ถ้วย 112 kcal
เยลลี่ถ้วย 2 ถ้วย 80 kcal
รวมมิตร 1 ถ้วย 230 kcal
โรตีสายไหม 1 อัน 145 kcal
ลอดช่องน้ำกะทิ 1 ถ้วย 210 kcal
ลอดช่องสิงคโปร์ 1 ถ้วย 215 kcal
สาคูไส้หมู 4 ลูก 205 kcal
ลิ้นจี่ในน้ำเชื่อม 1 ถ้วย 110 kcal
ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ 165 kcal
ลูกชุบ 3 ชิ้น 170 kcal
ลูกเดือยต้มน้ำตาล 1 ถ้วย 140 kcal
ลูกตาลลอยแก้ว 1 ถ้วย 180 kcal
ลำใยในน้ำเชื่อม 1 ถ้วย 180 kcal
วุ้นกะทิ 1 ชิ้น 215 kcal
วุ้นมะพร้าวอ่อน 1 ชิ้น 80 kcal
สังขยา 1 ชิ้นเล็ก 204 kcal
สังขยาเผือก 1 ชิ้นเล็ก 222 kcal
สังขยาฟักทอง 1 ชิ้นเล็ก 288 kcal
สาเกเชื่อมราดกะทิ 1 ชิ้น 235 kcal
สาคูบัวลอย 1 ถ้วย 162 kcal
สาคูเปียกรวมมิตร 1 ถ้วย 170 kcal
สาลี่ 1 ชิ้น 116 kcal
ไส้กรอกทอด 1 ชิ้น 280 kcal
ไส้กรอกอีสาน 1 อัน 90 kcal
หมูปิ้ง 2 ไม้ 150 kcal
หมูสะเต๊ะ 2 ไม้ 230 kcal
แหนมสด ข้าวทอด 1 จาน 290 kcal
อัลมอนต์อบเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ 45 kcal
อาลัว 4 ชิ้น 145 kcal
ไอศกรีมกะทิ 2 ก้อน 215 kcal
ไอศกรีมกาแฟ 1 ก้อน 142 kcal
ไอศกรีมชอกโกแล็ต 1 ก้อน 110 kcal
ไอศกรีมเรซิน 1 ก้อน 264 kcal
ไอศกรีมวนิลลา 1 ก้อน 140 kcal
ไอศกรีมสตรอเบอรี่ 1 ก้อน 110 kcal


ขนมปังกระเทียม 2 ชิ้น 170 kcal
ขนมปังขาไก่ 1 ชิ้น 65 kcal
ขนมปังน้ำสลัดหมูหยอง 1 ชิ้น 230 kcal
ขนมปังปอนด์ 1 แผ่น 80 kcal
ขนมปังมะพร้าว 1 ชิ้น 235 kcal
ขนมปังสังขยา 1 ชิ้น 230 kcal
ขนมปังไส้กรอก 1 ชิ้น 130 kcal
ขนมปังไส้ไก่ 1 ชิ้น 223 kcal
ขนมปังไส้หมูหยอง 1 ชิ้น 185 kcal
ขนมปังฮาวายเอี้ยน 1 ชิ้น 300 kcal
ขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว 2 ชิ้น 300 kcal
ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนกวน 1 ชิ้น 340 kcal
ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ลูกบัว-ไข่เค็ม 1 ชิ้น 375 kcal
ครีมโรล 1 ชิ้น 360 kcal
คุ้กกี้ข้าวโอ๊ต 2 ชิ้น 150 kcal
คุ้กกี้ช็อคโกแลตชิพ 2 ชิ้น 235 kcal
คุ้กกี้ชาเขียว 1 ชิ้น 150 kcal
คุ้กกี้เนย 2 ชิ้น 210 kcal
คุ้กกี้สิงคโปร์ 2 ชิ้น 190 kcal
คุ้กกี้ไส้สับปะรด 1 ชิ้น 190 kcal
เค้กกล้วยตาก 1 ชิ้น 305 kcal
เค้กกล้วยหอม 1 ชิ้น 370 kcal
เค้กช็อคโกแลต 1 ชิ้น 275 kcal
เค้กเนย 1 ชิ้น 255 kcal
เค้กเนยแต่งหน้า 1 ชิ้น 405 kcal
เค้กใบเตย 1 ชิ้น 250 kcal
ชิฟฟอนกาแฟ 1 ชิ้น 275 kcal
ชิฟฟอนคัสตาร์ดเค้ก 1 ชิ้น 340 kcal
แซนวิชไก่ 1 คู่ 240 kcal
แซนวิชทูน่า 1 คู่ 180 kcal
แซนวิชแฮม ชีส 1 คู่ 290 kcal
เดนิสแฮม 1 ชิ้น 385 kcal
โดนัท แยม น้ำตาล 1 ชิ้น 270 kcal
โดนัทยีสต์ 1 ชิ้น 250 kcal
บราวนี่ 1 ชิ้น 340 kcal
บูลเบอร์รี่ชีสเค้ก 1 ชิ้น 285 kcal
แบล็กฟลอเรสต์เค้ก 1 ชิ้น 470 kcal
พายกรอบ (โรยน้ำตาล) 2 ชิ้น 235 kcal
พายชีสบูลเบอร์รี่ 1 ชิ้น 350 kcal
พายทูน่า 1 ชิ้น 280 kcal
พายเผือก 1 ชิ้น 425 kcal
พายสับปะรด 1 ชิ้น 505 kcal
พายไส้กรอก 1 ชิ้น 400 kcal
พายไส้ไก่ 1 ชิ้น 405 kcal
พายไส้แฮม 1 ชิ้น 400 kcal
พิซซ่าทะเล 1 ชิ้น 335 kcal
พิซซ่าไส้กรอก 1 ชิ้น 290 kcal
พิซซ่าฮาวายเอี้ยน 1 ชิ้น 345 kcal
ฟรุตเค้ก 1 ชิ้น 400 kcal
ฟรุ้ตบาร์ 1 ชิ้น 305 kcal
แยมโรล 1 ชิ้น 310 kcal
อัพไซด์ดาวน์เค้ก 1 ชิ้น 395 kcal
เอแคร์ไส้ครีม 1 ชิ้น 225 kcal
แฮมเบอร์เกอร์ชีส ไก่ 1 ชิ้น 280 kcal
แฮมเบอร์เกอร์หมู 1 ชิ้น 245 kcal