8 เทคนิคควบคู่ไดเอท

8 เทคนิคควบคู่ไดเอท


     


       สาวๆ หลายคน ที่กำลังลดความอ้วนมักจะบ่นว่า กว่าจะผอมได้มันช่างยากเหลือเกิน แต่ถ้าหากคุณใช้
เทคนิคเข้าช่วยควบคู่ไปด้วย การลดความอ้วนจะกลายเป็นเรื่องสนุกและทำง่ายกว่าที่คิด วันนี้ women.mthai เลยขอ 8 เทคนิคที่จะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคุณค่ะ


น้ำมันคาโนออยล์

      
น้ำมันที่สกัดจากดอกคาโนลา ต่างจากน้ำมันพืชที่เราทำกับข้าวกันอยู่ตรงที่มันอุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยให้
จานเด็ดของคุณกลายเป็นอาหารลดความอ้วนที่มีสรรพคุณสลายไขมันในเลือด แถมยังดีต่อสุขภาพผิวด้วย น้ำมัน
ชนิดนี้ชื่ออาจจะเรียกยากแต่หาซื้อไม่ยากเลย แต่เข้าไปในซูเปอร์เก็ตก็มีให้เลือกตั้งหลายยี่ห้อแล้ว


กล้วยหอมคือคำตอบ
      
ระหว่างที่ลดความอ้วน สาวๆ มักจะเครียด สาร ทริปโทโฟน จากกล้วยหอมจะช่วยลดอารมณ์ซึมเศร้า
คลายเครียดทำให้คุณกระปรี้กะเปร่าที่จะไดเอทต่อไปอย่างสดชื่น ที่สำคัญกล้วยหอมมีใยอาหารสูง จนนัก
โภชนาการแนะนำให้เป็นอาหารไดเอทอีกอย่างหนึ่งเลยเชียวล่ะค่ะ


กระเทียมวันละ 2 กลีบ
      
เห็นเป็นของพื้นบ้านอย่างนี้  แต่คุณสมบัติของเจ้ากระเทียมดีกว่าพิซซ่าทั้งถาดเสียอีก  แค่วันละ 2 กลีบ
มันจะช่วยสลายไขมันในเส้นเลือดในเส้นเลือดให้คุณ  รักษาโรคความดันสูงที่สาวอ้วนส่วนใหญ่มักจะเป็นและทำ
ให้อารมร์ดี  ไม่หงุดหงิดจนเพลอเลี้ยวเข้าร้านแฮมเบอร์เกอร์ไปเสียก่อน



กินแป้งได้  แต่ต้องไม่หวาน
      
นักไดเอทมัจจะคิดว่าคาร์ไฮเดรตทั้งโลกคือศัตรูของเรา แต่ที่แท้จริงแป้งยังเป็นอาหารที่คุณไม่ควรจะงด
เพราะจะให้พลังงานทำให้คุณมีแรงทำงานได้ตามปกติ เพียงแต่ควรเลือกกินแป้งที่ไม่ขัดสีและน้ำตาลต่ำๆ อย่าง
ข้าวกล้อง ถั่ว ข้าวโพด เป็นต้น




ผักสีเขียว & ถั่วของดีมีประโยชน์
      
ผักสีเขียวๆ กับถั่วอาจะเป็นผักที่สาวๆ หลายคนไม่ยอมเหลียวแล หารู้ไม่ว่าคุณกำลังพลาดของดีไปซะ
แล้ว ของสองอย่างนี้เป็นแหล่งของวิตามินซีกับใยอาหาร ที่จะช่วยให้ไขมันในหน้าท้อง ต้นแขน สะโพกของคุณ
สลายตัวเร็วขึ้น และยังหนักท้อง กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน




ยิ่งแซบยิ่งแจ่ม


      
ในพริกมีสาร แคปไววิน ที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาพลาญของเราให้ทำงานมากขึ้น เท่ากับช่วยลดความอ้วน
โดยตรง ในแต่ละมื้อถ้าคุณเหยาะพริกไทยลงไปในจานเด็ดนิดหน่อย หรือกินพริกสดจากน้ำปลาพริกที่แม่ค้าแถม
มาไม่กี่ชิ้น ก็จะช่วยได้โปรแกรมลดความอ้วนไปถึงเส้นชัยเร็วขึ้น




อาหารน้ำตาลต่ำ


      
อาหารทุกอย่างมีน้ำตาลไม่เว้นแม้แต่ผัก สาวๆ นักไดเอทจึงต้องทำตัวเป็นยายช่างเลือก เลือกกินแต่อาหารที่มีน้ำตาลต่ำๆ อย่างข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผัก ถั่วงอก แอปเปิ้ล ไอศกรีมโยเกิร์ต และผลไม้ที่ไม่หวานจัด 
ถึงจะไม่ช่วยให้ผอมลง แต่อย่างน้อยก็จะไม่เพิ่มไขมันให้ตัวเอง




ปวยเล้ง  ผักของคนอยากผอม
      
เวลาเราลดความอ้วน  กล้ามเนื้อจะอ่อนแรง  แต่คนที่กินผักปวยเล้งจะไม่ต้องพบกับปัญหานี้  เพราะในปวยเล้งมีกรดโฟลิก  และช่วยสร้างเซลล์ใหม่ๆ  ขึ้นมานอกจากนี้  ปวบเล้งยังลดอาการซึมเศร้า  ทำให้หลับง่าย  ไม่หงุดหงิดตลอดเวลาที่ไดเอท



ที่มา : นิตยสาร  Spicy

สังเกต ลมหายใจ บ่งบอกโรคได้

คุณสาวๆ women.mthai ขา…เคยสังเกตตัวเองก่อนออกจากบ้านกันบ้างรึป่าวคะ ว่าคุณนั้นปกติ สบายดีอยู่มั้ย อ๊ะๆ อย่าคิดนะคะ ว่าไม่มีอาการบ่งบอกแล้ว ร่างกายของคุณจะยังปกติดีอยู่เต็ม 100%
…..กลิ่นปาก หรือ กลิ่นลมหายใจของเรา เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณเอง จะต้องมั่นสังเกต และคอยดูแลเป็นประจำ นอกจากจะทำให้คุณเสียบุคลิกภาพได้แล้ว ยังสามารถบอกอาการของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้นะคะ
…ไปดูกันสิคะว่า กลิ่นแบบไหน บอกโรคอะไรได้บ้าง…
…..icon  กลิ่นลมหายใจ มีกลิ่นคล้ายเนย คุณอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็น โรคไซนัสอักเสบ ได้นะคะ รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ไม่ให้เป็นหวัด โดยพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นควันมากๆ
…..icon  กลิ่นลมหายใจ คล้ายผลไม้หอมหวาน อุ๊ย…!! โรคเบาหวาน โรคที่สาวๆ หลายคนกลัว 
…..icon  กลิ่นลมหายใจ คาว เมื่อคุณรู้สึกว่า มีลมหายใจกลิ่นคาว คุณอาจมีความเสี่ยงเป็น โรคตับอักเสบ การมีอนามัยส่วนบุคคล ส่วนรวมที่ดี เช่น การล้างมือให้สะอาดก่อนทำสิ่งใด หลังการขับถ่าย การประกอบอาหารถูกหลักอนามัย เลือกรับประทานอาหารที่สุก น้ำดื่มที่สะอาด จะช่วยให้ป้องกันโรคตับอักเสบได้ค่ะ
…..icon  กลิ่นลมหายใจ คล้ายกลิ่นปัสสาวะ ระวังนะคะ โรคไต โรคที่ทรมานสุดๆ หากคุณเป็นล่ะก็ นึกสภาพตอนไปล้างไตได้ค่ะ สาเหตุของโรคนี้ ก็คือ ร่างกายของคุณอาจจะ ขับของเสียไม่หมด จากนั้นก็มีการดูดกลับเข้าสู่กระแสเลือด
…..icon  โรคไข้ทรพิษ โรคติดต่อร้ายแรง คุณสาวๆ บางคน อาจจะไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่กับโรคนี้ หากคุณมี กลิ่นลมหายใจ คล้ายโรงเลี้ยงสัตว์ เหม็นคาว คุณอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ค่ะ
…..icon  โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคนี้ลมหายใจของคุณ จะมี กลิ่นเหม็นเน่า ปนกับกลิ่นคาวเลือด คุณสวาๆ ลองคิดดูสิคะ หากว่าคุณเป็นโรคนี้ล่ะก็ คงไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้เลยล่ะค่ะ
…..icon  กลิ่นคล้ายขนมปังเหม็นบูด คุณอาจเป็น โรคขาดสารอาหารพวกไนอาซิน และวิตามินบี 6 สาเหตุการเกิดโรค คุณอาจไม่ได้ขาดสารอาหาร แต่อาจจะรับประทานไม่เพียงพอกับความจำเป็นของร่างกายก็ได้ค่ะ
…..icon  กลิ่นลมหายใจ มาจาก เสมหะเหม็นเน่า แสดงถึง การติดเชื้อขั้นรุนแรง…
…..icon  หากร่างกายได้รับสารพิษเข้าไป ร่างกายมีการขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา กลิ่นลมหายใจของคุณ จะมี กลิ่นเหมือนแก๊ซ ปะปนออกมาด้วย
…..icon  กลิ่นลมหายใจ มีกลิ่นฝรั่งสุก ส่วนใหญ่พอในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษพวกฟอสฟอรัสเข้าไป
…..icon  กลิ่นลมหายใจ มีกลิ่นหญ้าไหม้ พบในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษพวกกัญชา ไม่จำเป็นเสมอไปว่า คุณจะต้องเป็นผู้เสพเอง คุณอาจจะได้รับสารพิษจำพวกนี้ ในรูปแบบอื่นๆ ก็ได้ค่ะ

 ขอบคุณที่มาจาก women.mthai

GoodSkin Labs ขอแนะนำ BB-10 Instant Skin Perfector SPF35

GoodSkin Labs ขอแนะนำ BB-10 Instant Skin Perfector SPF35
บีบีครีมเน้นส่วนผสมบำรุงผิวพร้อมปกป้องผิวจากรังสี UV
     เป็นเจ้าของผลลัพธ์ผิวสวยในทันทีกับผลิตภัณฑ์ GoodSkin Labs แบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ได้รับการยอมรับ ระดับโลก ว่าให้ผลลัพธ์ในการรับมือริ้วรอยสำหรับผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นรอยย่นหว่างคิ้ว สีผิวไม่เรียบเนียน สม่ำเสมอ หรือรอยคล้ำใต้ดวงตา GoodSkin Labs มีทางออกที่ได้ผลจริง เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ เพื่อรอนับถอยหลังสู่ผิวสวยงามดูเปล่งประกาย
BB-10 Instant Skin Perfector SPF35
นวัตกรรม
     ผู้หญิงในยุคนี้ต้องทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน และต้องการสิ่งเดียวกันจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเช่นกัน วันนี้ GoodSkin Labs นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ประหยัด “เวลา” (ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด) กับผลิตภัณฑ์ BB-10 Instant Skin Perfector SPF35 ลดขั้นตอนการบำรุงผิวประจำวันของคุณ พร้อมให้ผลลัพธ์ผิว สวยจริงในทันที และต่อเนื่องในระยะยาวเมื่อใช้เป็นประจำ นับเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและแต่งหน้ารวมกันในชิ้นเดียวและชิ้นแรกจาก GoodSkin Labs
นับถอยหลังสู่ผิวสวย หมดกังวลกับริ้วรอย ในขั้นตอนเดียวกับ BB-10 หนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ให้ 10 คุณประโยชน์
10 – ปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
9 – ให้ผิวดูสว่าง และเติมความเปล่งประกาย เพื่อผิวดูกระจ่างใสอย่างดูมีสุขภาพดี
8 – ลดเลือนเส้นริ้วและริ้วรอย
7 – เติมความชุ่มชื่นสู่ผิว
6 – ลดความมันส่วนเกินบนผิว
5 – ปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสี UV ด้วย SPF35
4 – ปกป้องผิวจากการทำร้ายจากมลภาวะ
3 – อำพรางรูขุมขนแลดูเล็กลง
2 – เตรียมผิวพร้อมสำหรับการแต่งหน้าในขั้นต่อไป
1 – ปกปิดรอยสิว จุดด่างดำ และสามารถทาเพิ่ม เพื่อการปกปิดได้ตามต้องการ

     สูตรพิเศษที่ให้เฉดสีกลาง เข้าได้กับทุกโทนสีผิว เนื้อครีมจะเนียนลงสู่ผิวเมื่อใช้งาน คุณสามารถใช้ BB-10 เพียงลำพังเพื่อให้ผิวดูเปล่งประกายตามธรรมชาติ หรือทาก่อนลงรองพื้น เพื่อให้ผิวเปล่งประกายได้ยาวนานยิ่งขึ้น
สูตรปราศจากน้ำมันให้การทำงานหลากหลาย อุดมด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์และถูกออกแบบมา เพื่อฟื้นบำรุง และปกป้องผิว ในขณะเดียวกันมอบความชุ่มชื่น เพื่อผิวสวย ดูมีสุขภาพดี

K_BB10_Model_Asia
ผลพิสูจน์
บทวิเคราะห์ BB-10
• ในทันที ผิวดูเรียบเนียนขึ้น กระจ่างใสขึ้น และดูเปล่งประกาย
• การทดสอบทางห้องปฎิบัติการพิสูจน์แล้วว่า เส้นริ้วและริ้วรอยที่มองเห็นได้ แลดูลดลง*
การทดสอบความพึงพอใจ ที่แสดงผลลัพธ์ในทันที**
ผู้หญิง 19 จาก 21 ราย รู้สึกว่า ความชุ่มชื่นผิวเพิ่มขึ้น
ผู้หญิง 18 จาก 21 ราย ของผู้หญิง รู้สึกว่า สีผิวดูสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
ผู้หญิง 18 จาก 21 ราย ของผู้หญิง รู้สึกว่า พื้นผิวหน้าโดยรวมเนียนขึ้น
ผู้หญิง 17 จาก 21 ราย ของผู้หญิง รู้สึกว่า ผิวดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น
*จากผลการทดสอบทางห้องปฏิบัติการในอาสาสมัครหญิง 21 ราย โดย Estee Lauder Testing Center นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2553
บทสรุปของผลิตภัณฑ์
      มองเห็นผลลัพธ์ของผิวสวย ตั้งแต่วันนี้ กับ BB-10 Instant Skin Perfector SPF35 ผลิตภัณฑ์สูตรทำงานหลากหลายในผลิตภัณฑ์เดียว เป็นทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและแต่งหน้า ให้กิจวัตรการดูแลผิวประจำวันของคุณง่ายดายขึ้น ลดขั้นตอนสู่ผิวสวยและดูอ่อนเยาว์
หลังจากทำความสะอาดผิวและลงมอยเจอร์ไรเซอร์ ทาครีมเล็กน้อยบนปลายนิ้ว จากนั้นค่อยๆ เกลี่ยด้วยปลายนิ้ว จากบนลงล่างให้ทั่วผิวหน้า หากต้องการการปกปิดยิ่งขึ้น ทาเพิ่มเติมในจุดที่ต้องการ

แบบทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย

  1. แบบทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย

    null
    เรื่องของสุขภาพ ใครบ้างไม่สนใจ ดังนั้น อีแมกกาซีนจึงขอชวนทุกท่านมาร่วมทดสอบความแข็งแรงของตนเองกับแบบข้อสังเกตุง่ายๆ ที่จะทำให้รู้ว่า คุณมีสุขภาพดีเพียงใด
    1. กระดูกแข็งแรง ชีวิตก็พร้อม
    ตามธรรมชาติ ผู้หญิงเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย แต่วิถีชีวิตของผู้หญิงปัจจุบันยิ่งทำให้กระดูกต้องรับภาระหนักขึ้น จากหลายสาเหตุ…
    • ลักษณะของการทำงานหลักๆ คือนั่งทำงานที่โต๊ะ โดยไม่มีกิจกรรมเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ หรือให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว
    • มวลกระดูกเริ่มลดลงเมื่อก้าวเข้าสู่วัย 30
    • ภาวะการตั้งครรภ์ทำให้ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ 20-60 เท่าเพื่อสร้างกระดูกทารกและน้ำนม
    • เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน โดย 1 ใน 4 ของผู้หญิงวัยนี้มีปัญหากระดูกพรุน
    สัญญาณเตือนภัยของกระดูก
    • ปวดตามกระดูกที่รับน้ำหนัก เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก หรือปวดข้อ
    • น้ำหนักตัวน้อยและรูปร่างผอมบาง
    • หมดประจำเดือนเร็ว หรือตัดรังไข่
    • กินโปรตีนจากสัตว์ อาหารหวาน-เค็มจัด และคาเฟอีนมากเกิน ซึ่งทำให้แคลเซียมในเลือดไม่สมดุล จึงต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกทดแทน
    เคล็ดลับพิทักษ์กระดูก
    รอจนให้มวลกระดูกลดลงก็สายเสียแล้ว ดังนั้น เราควรมาเริ่มปกป้องกระดูกของเราตั้งแต่วันนี้กันเถอะ เพียงดื่มนมที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูงเป็นประจำ หรือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาตัวเล็ก งา ใบยอ ยอดแค ลดโปรตีนจากสัตว์ อาหารเค็ม-หวาน กาแฟ-เครื่องดื่มคาเฟอีน ออกกำลังกายวันละประมาณ 30 นาที              และสัมผัสแดดช่วงเช้า (8.30-10.30 น.) วันละประมาณ 20 นาที เพื่อให้ร่างกายได้สังเคราะห์วิตามิน D เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
    นอกจากนี้ WHI (Women’s Health Initiative) สหรัฐอเมริกา ได้แนะให้รับประทานแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1,000-1,500 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินดี 400-800 IU เพื่อป้องกันกระดูกผุและกระดูกหัก
    null
    Tip:  ก้ม-แอ่น-เอียง-บิด โยคะทุกวันเพื่อกระดูกแข็งแรง
    เพื่อความแข็งแรงของกระดูกแบบองค์รวม ควรออกกำลังกายด้วยการเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังให้ครบ 4 ทิศทาง…ก้ม-แอ่น-เอียง-บิด ด้วยท่าโยคะแบบง่ายๆ วันละอย่างน้อย 30 นาที โดยก้ม-ท่าจากหัวถึงเข่า แอ่น-ท่างู จากนั้น เอียง-ท่ากงล้อ บิด-ท่าบิดหลัง
    1. 2.       สายตาคมชัด ชีวิตก็พร้อม
    คอมพิวเตอร์ สื่ออิเลกทรอนิกส์ ฝุ่น ควัน แสงแดด เครื่องปรับอากาศในสำนักงาน ล้วนเป็นตัวการทำลาย “ดวงตา” หน้าต่างมองโลกของคุณให้แห้ง พร่ามัว และมืดมิด
    สัญญาณเตือนภัยของสายตา
    • มีอาการตาแดง ตาพร่า ตามัว ตาเมื่อยล้า ปวดตา มีอาการตาแห้ง เคืองตา ทำให้ต้องกระพริบตาบ่อย
    • ปวดศีรษะ อ่านหนังสือไม่ชัดเมื่ออายุมากขึ้น
    อาหารบำรุงตา
    ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำให้กินอาหาร 5 หมู่อย่างครบถ้วนหลากหลาย พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกาย เพื่อป้องกันโรคสายตา
    Tip:  ผ่อนคลายดวงตาด้วยตัวเอง
    นวดคลึงเบาๆ รอบดวงตาและบริหารดวงตาด้วยการกวาดสายตามองเป็นวงกลม 5-6 รอบ ใช้นิ้วแตะที่หัวตาแล้วคลึงเบาๆ จากนั้น แช่ผ้าขนหนูผืนเล็กในน้ำเย็น บิดพอหมาด วางปิดดวงตาทั้งสองข้างนานประมาณ 20 นาที หรือจนกว่าผ้าจะหายเย็นแล้วเปลี่ยนผ้าเย็นผืนใหม่
    อาหารบำรุงสายตา
    อาหารที่ดีต่อสายตานั้นควร อุดมไปด้วยวิตามิน A วิตามิน E วิตามินซี ลูทีน ซีแซนทีน ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย ดื่มนมที่มีวิตามินเอและลูทีน ผักใบเขียวและผักผลไม้สีเข้มที่มีลูทีนและซีแซนทีน เช่น ปวยเล้ง บรอคโคลี องุ่นแดง หอมแดง มะเขือม่วง ไข่แดง มีลูทีนและซีแซนทีนที่ร่างกายดูดซึมง่าย นอกจากนี้ ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดธัญพืช มีวิตามิน E ก็ดีเช่นกัน
    1. 3.       สมองเฉียบแหลม ชีวิตก็พร้อม
    อาหารและวิถีการดำเนินชีวิต ช่วยให้สมองปลอดโปร่งแจ่มใส ยับยั้งอาการสมองเสื่อมก่อนวัยอันควร
    สัญญาณเตือนภัยอาการทางสมอง
    หลงๆ ลืมๆ เป็นประจำ อารมณ์ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมเปลี่ยนไป ชอบอยู่นิ่งๆ ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
    null
    สุดยอดอาหารสมองใส 
    • นมที่มีวิตามินบี 12 และโอเมก้า 3 อาหารเช้าที่มีคุณค่าทำให้ความจำและสมาธิดี
    • ผักและผลไม้ที่มีวิตามิน E และวิตามิน C ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม เช่น มะเขือเทศ แครอท ผักขม กะหล่ำปลี บรอคโคลี ไข่ มีสารอาหารโคลีน มีส่วนช่วยในเรื่องการจำ
    • ปลาทะเลและปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า 3 ช่วยให้สมองเจริญเติบโต
    • เส้นใยจากธัญพืช ทำให้ปริมาณน้ำตาลที่เข้าสู่สมองไม่แปรปรวน สมองไม่เหนื่อยล้า
    Tips ฝึกสมองให้เฉียบแหลม
    ฝึกสมาธิหรือโยคะประจำวันเพื่อให้สมองรู้ตื่นและเบิกบาน
    ฝึกคิดเลขหรือเกมลับสมอง เช่น ซูโดกุ เป็นนิจ
    หากิจกรรมแปลกใหม่ท้าทายทำอยู่เสมอ
    ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info

นโยบายพรรควัยรุ่นไทยของ แทค ภรัณยู

http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2013/01/600.jpg
สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อยสำหรับโปรเจคขำๆ ของพิธีกรหนุ่ม “แทค ภรัณยู” ที่เจ้าตัวคิดขึ้นมาเพื่อเอาใจแฟนๆ ในอินสตาแกรม กับการจัดตั้งพรรคการเมืองภายใต้ชื่อ “วัยรุ่นไทย” ซึ่งหนุ่มแทคนั้นก็ได้ร่างนโยบายเพื่อสังคมออกมาทั้งหมด 14ข้อ ดังนี้…
1. เราจะตั้งวันสำคัญของพี่น้องชาวนาวันนึงเพื่อให้กำลังใจพวกเค้าเพราะชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ “ไม่ใช่คนที่มีอำนาจมากดขี่”
2. เราจะเพิ่มเงินเดือนราชการ เช่น ครู ตำรวจ ทหาร พยาบาล เป็นต้น เพื่อให้สมกับการรับใช้ประเทศ
3. อันนี้ต้องทำเลย เพิ่มเงินเดือนผู้สูงอายุ เพราะให้น้อยมาก กินอาทิตย์นึงก็หมดแล้ว
4. สามารถให้ประชาชน วัยรุ่นไทย ตรวจสอบเงินภาษีที่เราจ่ายไปว่าเอาไปทำอะไรบ้าง
5. จะตีเส้นถนนรถจักรยาน ให้จักรยานเท่านั้น วัยรุ่นไทย หรือ คนที่ขี่จักรยานจะได้ไม่ประสบอุบัติเหตุ
6. อันนี้เพื่อควาปลอดภัยคนที่ขึ้นแท็กซี่ และแท็กซี่เอง เราจะออกกฎให้รถทุกคันติดแผ่นใสพลาสติกระหว่างที่นั่งกับคนขับ จะได้ปลอดภัย คนขับก็จะไม่ถูกปาดคอ คนนั่งจะได้ไม่ถูกจี้ หรือ ข่มขืน
7. เด็กทุกคนที่กำลังเรียนจะต้องศึกษาประวัติของประเทศไทย ความเป็นมา และเข้าใจวันสำคัญของประเทศว่ากว่าจะเป็นประเทศไทยมันยากขนาดไหน และต้องเสียเลือดเท่าไหร่
8. ทุกปีต้องมีวัน วัยรุ่นไทย เพื่อที่ให้เค้ามาแสดงออก เต้น ร้อง เล่น โชว์ จะได้ให้ผู้ใหญ่เข้าใจและเข้าถึงวัยรุ่นบ้าง
9. เราเป็นเมืองท่องเที่ยวใช่ไหม และเดี๋ยวนี้ทุกคนทุกเชื้อชาติเปิดใจกันหมดแล้ว เราจะให้มีงาน เกย์ ทอม ดี้ กะเทยแสดงออกบ้าง เราจะมีงานคานิเวิล และประชาสัมพันธ์ให้คนมาเที่ยวเมืองไทย รับรองว่ามีคนมาเยอะแน่ เพราะประเทศเราเป็นคนที่ยิ้มง่าย และสามารถแต่งงานกันได้
10. ตอนอนุบาลเราต้องใส่ชุดไทยทุกวันศุกร์ เราเลยคิดว่าวันศุกร์จะให้คนแต่งชุดไทยกัน แต่ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าที่มันร้อนๆ ให้ใส่พวกคอกระเช้า คงน่ารักและสาวๆ จะไดสวยแบบไทยๆ
11. ผมจะได้เซนเซอร์ทำภาพเบลอกับทีวี การ์ตูน ละคร หนัง และเปิดโอกาสให้สื่อทุกประเภท (ยกเว้นหนังติดเรท)
12. ใครค้ายา จับได้ให้เสพยานั้นจนตาย ส่วนใครข่มขืน จับตัดอวัยวะเพศให้เป็ดกินต่อหน้า
13. เราจะซื้อเครื่องป้องกันให้กับคนที่เดินสายไฟฟ้า คนเก็บขยะ คนลอกท่อ จะได้ไม่เกิดอันตราย เพราะเป็นงานที่เสี่ยงแท้
14. ข้อนี้ไม่อยากให้เกิดแต่ต้องเขียน เพราะคือเรื่องจริง ใครที่พลาดท้องและเรียนอยู่ ม.ต้น หรือ ม.ปลาย สามารถเรียนต่อได้แต่ต้องเป็นเวลาพิเศษ สมมุติว่าใกล้คลอดก็หยุดได้และพอสมบูรณ์ก็กลับมาเรียนต่อได้ แต่ไม่อยากให้เกิดขึ้นนะเป็นห่วง
ร่างนโยบายซะชัดเจนขนาดนี้ เห็นทีลงสมัครเมื่อไหร่สาวๆ ทั่วประเทศคงเทหัวใจให้หัวหน้าพรรคอย่างล้นหลามแน่นอน!!
ที่มาของข่าว : sanook.com

Art in paradise สวรรค์งานศิลป์ 3 มิติ


http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2012/11/artinparadise3.jpg
“ไปพัทยากันเถอะ”
สมาชิกแก๊งเที่ยวออกปากชวนให้ไปเยี่ยม “ถิ่นเก่า” ที่เราน่าจะไปกันทุกปีตั้งแต่จำความได้ โดยเฉพาะในจังหวะที่อยากเที่ยวเหลือเกินแต่ไม่รู้จะไปไหน บวกกับความที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ พัทยาก็เลยเป็นเหมือนแหล่งปลดปล่อยอารมณ์ในวันหยุดที่ยังพอจะพึ่งพิงได้ แม้การไปเยือนบ่อยครั้งจะมีอารมณ์เบื่อๆ อยากๆ ไปบ้างก็ตาม
แก๊งเพื่อนบอกว่าตอนนี้ที่พัทยากำลังมีสถานที่ซึ่งกำลังเทรนดี้มากๆ แห่งใหม่ ไม่ใช่ทะเล ไม่ใช่ไนท์ไลฟ์ แต่เป็น “พิพิธภัณฑ์”และเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ฮอตมากๆ ยิ่งในวันหยุดแล้วแทบจะเรียกได้ว่าแน่นไปด้วยผู้คนแทบทุกตารางนิ้ว จะเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากพิพิธภัณฑ์ “Art In Paradise” พิพิธภัณฑ์ศิลปะ 3 มิติเปิดใหม่ใหญ่โตอลังการ ของดีของเมืองพัทยาที่เรียกนักท่องเที่ยวให้แวะมาเยี่ยมชมของเล่นใหม่ทางสายตาได้เป็นอย่างมากในตอนนี้
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้โอ่อ่าโอ่โถงอยู่ภายในตัวอาคารบนพื้นที่กว่า 5,800 ตารางเมตร สร้างสรรค์ขึ้นจากอดีตที่เคยเป็นดิสโก้เธคชื่อดัง พัทยา พัลลาเดียม ที่ปิดตัวลงไป และได้ผู้บริหารโครงการชาวเกาหลีคือ คุณ ชินแจยอล พร้อมหุ้นส่วนนับ 10 ชีวิต ลงขันร่วมกันเปิดพิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปะแห่งนี้ขึ้น ใช้เงินลงทุนไปร่วมๆ 50 ล้านบาท ระดมฝีมือศิลปินชาวเกาหลีมาละเลงฝีแปรง สรรค์สร้างจิตรกรรมที่ให้มุมมอง 3 มิติแปลกใหม่เป็นครั้งแรกในเมืองไทย และหวังจะให้เป็นแลนด์มาร์คทางศิลปะแนวใหม่เพื่อคนไทยในอนาคตอีกด้วย
http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2012/11/artinparadise2.jpg
เหตุผลที่คุณชินแจยอลเลือกพลิกฟื้นอาคารเธคเก่าที่ถูกปล่อยร้างให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เพราะตัวเขานั้นผูกพันกับศิลปะมาก เคยร่ำเรียนมาทางด้านออกแบบจากมหาวิทยาลัยฮงอิกในเกาหลีใต้ เรียกว่าคร่ำหวอดกับศิลปะมาเกือบทั้งชีวิต แต่ความตั้งใจเดิมของการสร้างโปรเจคท์พิพิธภัณฑ์ในพัทยานั้นกลับไม่ใช่ Art In Paradise เพราะในตอนแรกนั้น คุณชินได้เสนอโปรเจคท์ พัทยา เลิฟ แลนด์ หรือพิพิธภัณฑ์เพศศึกษาในพัทยาด้วยรูปแบบประติมากรรมสนุกขำขัน ต่อเนื่องจาก เชจู เลิฟ แลนด์ (Jeju Love Land) พิพิธภัณฑ์เพศศึกษาที่เขาเคยบริหารเมื่อครั้งยังอยู่ที่เกาหลี แต่โปรเจคท์นั้นไม่ผ่านการพิจารณาจากทางพัทยาและการท่องเที่ยวฯ จึงกลับมาเสนอไอเดียใหม่ในโปรเจคท์งานจิตรกรรม 3 มิติ หวังเปิดโลกทัศน์นักท่องเที่ยวชาวไทย ก็ปรากฏว่าสร้างเสียงตอบรับจากผู้เข้าชมงานได้เป็นอย่างมากตั้งแต่เริ่มเปิดตัวพิพิธภัณฑ์ใหม่ๆ เลยทีเดียว ถือว่าคุณชินนั้นกลับลำได้ทัน และตั้งโจทย์-ตอบโจทย์พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ได้ถูกทาง
ความเก๋ไก๋ของการจัดแสดงภาพจิตรกรรม 3 มิติ ทั้งภาพวาดและภาพถ่ายนี้ ใครที่เคยเห็นจากต่างประเทศก็คงจะทราบดีว่าเป็นการแสดงงานศิลปะที่มีความเป็น interactive art นั่นก็คือผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมกับไปกับจินตนาการของผลงานได้จากภาพจิตรกรรมระนาบเดียว แต่อาศัยการลงสีสร้างแสงเงา เสมือนภาพนั้นๆ มีมิตินูนสูงขึ้นมา และเมื่อเราลองจัดวางท่าทางให้คล้อยตามกับภาพ ก็จะเกิดมุมมองแบบภาพ 3 มิติ ที่ชวนให้เกิดบรรยากาศแปลกใหม่ ทำให้จินตนาการกลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาได้ทันที แม้แต่หลายๆ คนที่ไปไปเยี่ยมชมมาแล้ว ยังบอกว่า สีสันแบบนี้ทำให้การทัวร์พิพิธภัณฑ์นั้นสนุกกว่าการเยี่ยมชมความงามแบบเดิมๆ ที่ไม่สามารถจับต้องหรือเล่นสนุกได้ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ต่างมุมมองกันไปของนักท่องเที่ยวผู้มาเยี่ยมชม
โซนจัดแสดงของ Art In Paradise นั้น แบ่งออกเป็นห้องๆ จำนวน 10 ห้อง เหตุที่ต้องจัดแบ่งเป็นห้องเพราะเขาใช้พื้นที่บนผนังกำแพงเป็นที่จัดแสดง และขนาดของภาพก็ใหญ่โตได้ใจ โดยเฉพาะการนำเสนอในแต่ละห้องก็จะมีหลากหลายคนเซปท์ต่างกันไป ทำให้ผู้เข้าชมไม่รู้สึกเบื่อ และยังได้ความรู้จากเทคนิคของภาพและการจัดวางท่าทางเพื่อให้กลมกลืนไปกับภาพด้วย
http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2012/11/artinparadise1.jpg
ประเดิมกันที่ ห้องลวงตา เป็นห้องที่ผสานหลักการทางวิทยาศาสตร์และการนำเสนอผ่านงานศิลปะ ห้องนี้จะคล้ายๆ ห้องลับสมอง เช่นบางภาพเราอาจมองเห็นวงกลม 4 วงมีสีที่แตกต่างกันทั้งที่มีเพียงสีเดียว แต่ในความเป็นจริงนั้นเกิดจากการหักเหของลำแสงที่เกิดจากพื้นหลังและรูปทรงที่บิดเบือนการรับรู้ ส่วนห้องที่เด็กๆ มักจะชื่นชอบ ผู้ใหญ่ก็มักจะชื่นชม ก็จะมี ห้องใต้สมุทร และ ห้องแห่งสัตว์ป่า ซึ่งมีคอนเซปท์ที่คล้ายคลึงในการดึงเอาภาพวาดธรรมชาติมาเป็นจุดขายให้ผู้เข้าชมจัดท่าทางถ่ายรูปประหนึ่งเหมือนกำลังแหวกว่ายหรือไล่ล่าอยู่กับสิงสาราสัตว์ตามจินตนาการของตัวเอง
ส่วนใครที่ชอบภาพวาดที่ให้ชีวิตชีวาขึ้นมาอีกหน่อย ต้องแวะไปที่ ห้องภาพวาดศิลปินระดับโลก ที่ศิลปินเกาหลีเขาถ่ายทอดภาพวาดสวยๆ ของแวนโก๊ะหรือดาลีลงบนฝาผนังให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม อีกห้องหนึ่งที่เผยให้เห็นถึงความอลังการในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือ ห้องอารยธรรม ที่นำความโดดเด่นแห่งอารยธรรมทั่วโลกมารวมไว้ด้วยกัน ทว่าห้องที่ดูจะเป็นที่นิยม ใครมาต้องแวะชมและแชะภาพคู่กับวิวสวยเสมือนจริงคือ ห้องน้ำตก และ ห้องวิวทิวทัศน์ กับฉากเด่นสะพานข้ามห้วยที่หลายคนจะมาทำท่าเดินข้ามสะพานตามสไตล์ของตัวเอง นอกจากนี้ยีงมี ห้องศิลปะแนวเหนือจริง ห้องไดโนเสาร์ และเร็วๆ นี้ ก็เตรียมจะเปิด ห้องนิทรรศการศิลปะ เพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่ในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย
http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2012/11/artinparadise41.jpg
ด้วยความที่เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดใหม่ และทีมงานหุ้นส่วนรวมถึงทีมสร้างสรรค์ก็ใช้ทีมงานจากเกาหลีใต้ที่มีประสบการณ์ ก็เพียงพอที่จะดึงดูดเด็กๆ และวัยรุ่นไทยให้อยากไปเยี่ยมชม แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนนั้น อาจเป็นเพราะว่าได้ไปเยี่ยมชมในวันหยุดที่ผู้คนแออัดเบียดเสียดกัน อรรถรสในการชมจึงขาดหายไปพอสมควร บวกกับผลงานภาพวาดต่างๆ ที่จัดโชว์ ก็ไม่ได้ถึงกับทำให้ตื่นตาตื่นใจ อาจเป็นเพราะได้มีโอกาสไปชมงานศิลปะในแบบ interactive art แบบนี้ในต่างประเทศมาแล้วก็เลยมีข้อเปรียบเทียบเล็กๆ ซึ่งก็เป็นมุมมองส่วนตัว แต่แกนนำของก๊วนที่เคยได้มีโอกาสมาชม Art In Paradise ก่อนหน้านี้แล้ว เขาบอกว่า หากเป็นวันที่คนไม่มาก บรรยากาศสงบๆ การชมภาพจิตรกรรมและคิดมุมถ่ายรูปที่นี่ จะสนุกกว่าและไม่ต้องเจอกับคลื่นคนที่แย่งกันถ่ายรูปจนหามุมดีๆ ไม่เจอ ส่วนบรรยากาศโดยรวมนั้นถือว่าใช้ได้ เพราะที่นี่เขาติดแอร์เย็นฉ่ำทั้งอาคาร เดินชมนานๆ ได้สบายไม่เหนื่อย แค่ระวังว่าจะเมื่อยขาหมดแรงเพราะไปซะก่อนเท่านั้นเอง
พิพิธภัณฑ์ Art In Paradise ตั้งอยู่บน ถ.พัทยาสาย 2 สังเกต รร. ไอบิสด้านหน้า ก็จะเจอป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์ซึ่งจะอยู่ภายในซอย ให้เดินเข้าไปอีกหน่อยก็จะถึง โดยเปิดให้ชมทุกวันไม่เว้นวันหยุดตั้งแต่ 9 โมงเช้า- 3 ทุ่ม ผู้เข้าชมสามารถตีตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ที่เคาเตอร์ด้านหน้า ราคาบัตรเข้าชมสำหรับคนไทย ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็กที่ความสูงไม่เกิน 120 ซม. 100 บาท ส่วนชาวต่างชาตินั้นบัตรเข้าชม 500 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และ 300 บาทสำหรับเด็กที่ความสูงไม่เกิน 120 ซม.
ลองเปลี่ยนจากวันหยุดอันอุดอู้ที่ต้องเดินอยู่ในกล่องแคบๆ ของห้างสรรพสินค้า มาเป็นการเปิดหู-เปิดตา ด้วยงานศิลปะดูบ้าง แม้จะเป็นช่วงเริ่มต้นของการเปิดพิพิธภัณฑ์ แต่ก็น่าจะช่วยจุดประกายความคิดให้เด็กไทยได้บ้าง เพราะความตั้งใจของผู้สร้างสรรค์นั้น น่าชื่นชมและน่าส่งเสริมจริงๆ หากมีการจัดระเบียบการเข้าชมที่ดีขึ้น และมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนภาพวาด 3 มิติให้หลากหลายขึ้นในอนาคต เชื่อว่า Art In Paradise จะเป็นสวรรค์ของการเรียนรู้อีกแห่งหนึ่งที่อยากให้คนไทยทุกคนได้ชื่นชมเช่นกัน
ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info

ทะเลบัวแดง หนองหานกุมภวาปี อันซีนแห่งสีสันธรรมชาติสร้าง



http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2013/01/ทะเลบัวแดง2.jpg
เราๆ ท่านๆ คงเคยได้ยินชื่อของ “หนองหาน” กันมานานนม แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่สับสนหรือยังไม่รู้ว่าในภาคอีสานของเรานี้
ก็มีทั้ง “หนองหาน” สถานที่สำคัญประจำอ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี และ “หนองหาร” หนองน้ำใหญ่ที่มีตำนานผาแดงนางไอ่
และความเชื่อเรื่องพญานาคในจ.สกลนครที่ยังคงเล่าขานต่อเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้
หนองหานที่เราจะพาไปเที่ยวคราวนี้ คือทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในอ.กุมภวาปี กับบางส่วนในพื้นที่อ.ประจักษ์ศิลปาคมของจ.อุดรธานี ความอุดมสมบูรณ์ของบึงหนองหานถือเป็นต้นแบบที่น่าสนใจต่อการศึกษาระบบนิเวศน์วิทยา เพราะที่นี่ชัดเจนความสัมพันธ์ระหว่างพืชพรรณและสัตว์ กลับคืนมาเป็นผลิตผลให้ชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวเลี้ยงชีพและหล่อเลี้ยงชุมชนจนเป็นภาพวิถีชีวิตของชาวหนองหานมานานปี กาลเวลาผ่านไปวิถีชาวบ้านกลายเป็นความงดงามตามธรรมชาติในยุคที่ผู้คนโหยหาสิ่งที่เลือนหาย ในขณะที่ความอุดมสมบูรณ์ของบึงหนองหานยังคงอยู่ วงจรชีวิตของบัวแดง หรือ “บัวสาย” ที่บึงหนองหานจึงเป็นประจักษ์พยานถึงความอุดมสมบูรณ์ที่ควรค่าแก่การศึกษา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบัวแดงที่บึงหนองหานจึงงอกงามทั่วท้องน้ำไปไกลสุดลูกหูลูกตานับเป็นหมื่นๆ ไร่ (นี่ยังไม่ถึงครึ่งของบึงเลยด้วยซ้ำ) เพื่อที่การชม ทุ่งทะเลบัวแดง แหล่งชมทุ่งดอกไม้ตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จะได้เต็มอิ่มและเพลิดเพลินกว่าการนั่งเรือชมความงามอย่างเดียว
เรามาสัมผัสทะเลบัวแดงหนองหานภุมภวาปีตามคำบอกเล่าของคนที่มาก่อนเราและหอบความประทับใจกลับไปบอกต่อ และด้วยความที่ได้รับการโปรโมทจากททท.ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนแหล่งใหม่เริ่มจะคุ้นเคยในหมู่นักท่องเที่ยว ด้วยความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของดอกบัวที่ธรรมชาติรังสรรค์ เมื่อสีแดงอมชมพูของดอกบัวเบ่งบานขึ้นพร้อมๆ กัน ก็จะกลายเป็นภาพความงามอันวิจิตรสุดลูกลูกตาราวกับเนรมิตบนผืนผ้าใบ ขณะที่บรรยากาศโดยรอบบึงหนองหานก็สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำตามธรรมชาติด้วยพันธุ์ปลาน้ำจืด สายพันธุ์นกท้องถิ่น และพืชน้ำอีกจำนวนมากอันเป็นหัวใจของระบบนิเวศน์ที่หล่อเลี้ยงทะเลบัวแดงและวิถีชุมชนให้ยั่งยืนจนถึงทุกวันนี้
http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2013/01/ทะเลบัวแดง1.jpg
หากเราเป็นคนต่างถิ่นที่หลงเข้าไปในอำเภอกุมภวาปีช่วงราวๆ กลางเดือน-ปลายเดือนธันวาคมของทุกปี เราอาจพบเห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ของต.บ้านเดียม มาออกันอยู่เนืองแน่นบึงหนองหาน ก็เพราะในช่วงนี้ของทุกปีจะเป็นช่วงใกล้เวลาที่บึงหนองหานจะเปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งใหลกันมาล่องเรือชม “ทะเลบัวแดง” ชาวบ้านเขาจึงเตรียมความพร้อมบึงหนองหานด้วยการร่วมแรงร่วมใจระดมเก็บสาหร่ายกลางพื้นที่นับหมื่นไร่ เพื่อให้ดอกบัวแดงโผล่พ้นน้ำเบ่งบานงดงามอวดนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ในช่วงปีใหม่ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์นั่นเอง
ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคมของทุกปี ดอกบัวแดงในหนองหานซึ่งมีจำนวนมากจะงอกงามโผล่จากน้ำขึ้นมา โดยในเดือนตุลาคมบัวจะเริ่มแตกใบและเริ่มออกดอกตูมและบานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บัวจะออกดอกมีปริมาณมากที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ และค่อยๆ ลดปริมาณลงในเดือนมีนาคม และเข้าสู่ช่วง “บัวเน่า” หรือช่วงที่บัวเก่าล้มตายกลายเป็นอาหารของบัวชุดใหม่ ช่วงนี้เองจะมี “บัวหลวง” เข้ามาผลัดเปลี่ยนให้ความงามที่ต่างออกไป แต่ชาวบ้านจะชอบใจเพราะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวผลลิตจากบัวไปขายสร้างรายได้กลับสู่ครอบครัว ก่อนที่บัวแดงชุดใหม่จะรอวันเติบโตแผ่ใบโผล่พ้นน้ำพร้อมกับดอกตูมให้เราตั้งตารอตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม ช่วงเวลานั้นเองที่ถือว่าสัญญาณแห่งทะเลบัวแดงฤดูกาลใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2013/01/ทะเลบัวแดง3.jpg
การเดินทางไปชมทะเลบัวแดงเพื่อความเพลิดเพลินเจริญใจอย่างคุ้มค่าควรมีการวางแผนตั้งแต่การเดินทางและเวลาที่เหมาะสมในการชมด้วย ธรรมชาติของดอกบัวสายหรือบัวแดงนั้นจะบานในช่วงเช้าตรู่จนถึงเวลาประมาณ 11.00 น. ช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นช่วงเวลาที่ดอกบัวบานสวยที่สุด หากเป็นคนท้องถิ่นอุดรนั้นจะรู้ดีว่าถ้าใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองประมาณ 45 นาทีก็จะถึงบ้านเดียม แต่คนต่างถิ่นที่กลัวว่าการเดินทางจะเป็นอุปสรรค ที่ต.บ้านเดียมเขาก็เตรียมโฮมสเตย์ไว้รอต้อนรับด้วยบรรยากาศและการดูแลแบบชาวบ้านแท้ๆ
การนั่งเรือชมทะเลบัวแดงที่นี่ต้องนับว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แม้จะมีเวลาให้ชมอย่างจำกัด (ราวๆ 45 นาที- 1 ชั่วโมงครึ่ง ตามแต่ประเภทของเรือที่เราเลือก) และหากดูเผินๆ เหมือนวิวรอบๆ ตัวจะมีแต่ดอกบัวสีแดงๆ แต่หากใช้หัวใจสัมผัสเพิ่มเติมจากสองตา จะเห็นความแตกต่างหลากหลายของบัวที่เติบโต เห็นนกกระสา นกกระยาง อ้อยอิ่งดิ่งขาละเลียดปลาในบึงอย่างไม่รีบร้อนเสมือนเป็นรังของมันเอง เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านเดียมที่ยังคงลอยเรือออกไปทำนา หาปลา ตัดอ้อย และหากเช่าเรือพิเศษที่มีบริการอาหารให้ทานบนเรือด้วยแล้วล่ะก็จะวิเศษสุดๆ เพราะเมนูรสแซ่บแบบอุดรทั้งส้มตำ ต้มยำปลาช่อน ตำไหลบัว จะยิ่งอร่อยขึ้นด้วยบรรยากาศที่หาจากบึงอื่นๆ อีกไม่ได้แล้วในตอนนี้
http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2013/01/ทะเลบัวแดง4.jpg
และเมื่อถึงช่วงเดือนมกราคมของทุกปีที่ดอกบัวบานชูช่อแตกกอเต็มบึง ทางจังหวัดอุดรธานีเขาจะจัดเทศกาลทะเลบัวแดงบาน หนองหานกุมภวาปีขึ้นเป็นประจำ และในปีนี้ก็เช่นกัน โดยงานจะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 11-13 มกราคม ด้วยกิจกรรมสนุกๆ มากมาย อาทิ การประกวดวาดภาพและภาพถ่ายทะเลบัวแดง, การประกวดวงดนตรีโปงลาง พร้อมร่วมกันสักการะพระมหาธาตุเทพจินดาหรือพระธาตุบ้านเดียม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองของชาวบ้านเดียมเพื่อความเป็นสิริมงคล และแถมท้ายให้เป็นพิเศษสำหรับคู่รักที่เตรียมจะเข้าพิธีวิวาห์ ที่ทะเลบัวแดงเขาเตรียมจะเนรมิตบึงตระการตาให้กลายเป็นสถานที่จัดงานสมรสหมู่ที่โรมแนติกไปด้วยสีแดงอมชมพูของดอกบัวที่รับรองความหวานไม่แพ้ที่ไหนๆ ในช่วงวันวาเลนไทน์ในเดือนกุมภาพันธ์นี้อีกด้วย
http://www.e-magazine.info/site/wp-content/uploads/2013/01/ทะเลบัวแดง5.jpg
ทะเลบัวแดงหนองหานกุมภวาปี ห่างจากจังหวัดอุดรธานี ประมาณ 45 ก.ม. การเดินทางสามารถเดินทางจากอ.เมืองอุดรธานี โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 2 (อุดรธานี-กุมภวาปี) ถึงกิโลเมตรที่ 26 เลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางห้วยสามพาด-อำเภอประจักษ์ศิลปาคม ประมาณ 18 กิโลเมตร นอกจากทะเลบัวแดงแล้วที่ อำเภอกุมภวาปี และสำหรับรถประจำทาง ก็สามารถนั่งรถทัวร์กรุงเทพ-อุดรธานี แล้วไปลงที่อำเภอกุมภวาปี หลังจากนั้นก็เหมารถสองแถวในอำเภอมาเที่ยวเทศกาลดอกบัวแดง ใครที่ต้องการค้างคืนก็สามารถติดต่อบ้านพักโฮมสเตย์จากชาวบ้านได้ตลอดเวลาเช่นกัน
ลองได้ไปสัมผัสทะเลบัวแดงหนองหานกุมภวาปีกันดูสักครั้งแล้วจะเข้าใจว่า ทำไมตากล้องมือโปรทั้งหลายจึงรักที่จะมาถ่ายรูปกันนักหนา และทำไมใครที่เคยมาแล้วถึงอยากกลับมาใหม่ ถ้าไม่ใช่เพราะเสน่ห์อันเรียบง่ายของวิถีชาวบ้านเดียมที่ซ่อนไว้ภายใต้กอบัวกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info

โบสถ์หยดเลือด เซนต์ปีเตอร์เบิร์กประเทศรัสเซีย โบสถ์แห่งการคืนชีพ


โบสถ์หยดเลือด เซนต์ปีเตอร์เบิร์กประเทศรัสเซีย

http://farm4.static.flickr.com/3632/3405263680_4c06d54a9a.jpg
หลายคนสับสนระหว่างโบสถ์หยดเลือดกับวิหารเซนต์ บาเซิล ว่าอันไหนเป็นอันไหน วิหารเซนต์ บาเซิลของพระเจ้าอีวานขาโหดนั้นประจำอยู่กรุงมอสโก แต่โบสถ์หยดเลือดที่เซอต์ ปีเตอร์เบิร์กนั้นเป็นของที่ระลึกถึงพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ย้อนกลับดูเรื่องราวที่น่าฉงนก่อนที่โบสถ์หยดเลือดจะเสร็จสมบูรณ์ ว่ากันว่าก่อนที่จะมีโบสถ์อันงดงามอยู่ข้างคลอง Griboyedov นั้น พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ทรงไม่เชื่อคำทำนายของโหรที่ทักว่าไม่ให้จัดพิธีอภิเษกสมรสใน 3 ปีนี้ ภายหลังจากที่พระมเหสีของพระองค์เพิ่งสิ้นพระชนม์ไป แต่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดรอ์ที่ 2 กลับดื้อดึงจะแต่งท่าเดียวก็ได้แต่งสมใจในช้วงต้นปี 1881 ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ทรงถูกลอบปรงพระชนม์ในเดือนมีนาปีเดียวกัน กลายเป็นที่มของโบสถ์หยดเลือดแห่งนี้
http://farm4.static.flickr.com/3263/3121839735_8b5188e9d4.jpg
เรื่องราวก็ปลงพระชนม์คงต่อเนื่องจากหลายเรื่องทั้ง เช่นการที่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์พาประเทศเข้าร่วมสงครามไครเมียและพ่ายแพ้กลับมา หรือจะเป็นการคิดที่จะปลดปล่อยคนชั้นทาส ชาวนาและกรรมกรให้เป็นอิสระ มันทำให้เกิดความไม่พอใจต่อเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย แถมยังมีกลุ่มชนที่ออกมาต่อต้านอ้างตนว่ารักชาติต่อต้านการปฏิรูปในหลายๆ ด้านของพระองค์ เรียกได้ว่าทำอะไรก็ไม่พอใจใครสักกลุ่ม จึงทำให้ถูกลอบปลงพระชนม์นั้นครั้งไม่ถ้วน แต่ก็รอดจนมาถือแผนการณ์สุดท้าย ขณะเสด็จกลับจากการเยี่ยมกองทหารพระองค์ถูกกลุ่มกบฏขว้างปาระเบิดใส่รถม้าที่นั่งบริเวณที่ตั้งของโบสถ์นี้ พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสด็จสวรรคตไปในที่สุด
http://farm4.static.flickr.com/3198/3404452993_cfdd24e30b.jpg
จึงทำให้เกิดโบสถ์แห่งการคืนชีพแห่งนี้ขึ้น จากเงินบริจาคของประชาชนทั่วประเทศรัสเซีย เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อศตวรรษที่ 17 ใช้เวลาก่อนสร้างยาวนานว่า 20 ปี เป็นงานศิลปะแบบรัสเซียดั้งเดิม ประดับประดาด้วยโมเสจพร้อมกับรูปภาพโมเสจขนาดใหญ่ยักษ์เป็นจุดขายของที่นี่ อาจจะมีบางทรงหลุดเสียไปตามกาลเวลาเพราะในช่วงนี้โบสถ์หยดเลือดแห่งนี้ถูกกลุ่มคนสถาปนาให้ความงดงามของมันเป็นเพียงโรงเก็บมันฝรั่งประจำเมืองในยุคมืดโซเวียต ก่อนจะมีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในช่วง 1990 และรัฐบาลก็เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อปี 1997 ให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมอันงดงามนี้ได้อย่างเต็มตา
http://farm3.static.flickr.com/2762/4151076659_c00000a2c6.jpg
ขอบคุณที่มา  e-magazine.info

หนึ่งในมรดกโลกของอิตาลี



เมื่ออยู่ต่างถิ่น หัวใจของนักเดินทางก็เต้นระรัวเป็นธรรมดาด้วยความกระหายใคร่รู้ คอยลุ้นอยู่บนความตื่นเต้นว่ากำลังจะได้ประสบการณ์ใหม่อะไรอีก ภายหลังจากการลืมตาในวันใหม่ บนโลกใบเดิมที่ต่างละติจูดกับแหล่งกำเนิด และแล้วร่างน้อยๆ ก็ปรากฎกายที่เมืองปิซาเข้าจนได้ หัวใจก็เต้นตึกตั่ก นำพาสองเท้าก้าวไป โอว…แม่เจ้า มันเอียงจริงด้วย แล้วทำไมมันเอียงอยู่อย่างนั้นนับร้อยปีไปดูกัน
เริ่มจากการรู้จักเมืองปิซากันก่อนเป็นไร เมืองที่เป็นอีกหนึ่งในมรดกโลกของอิตาลี ที่ได้รับการรับรองโดยองค์การยูเนสโกไปเมื่อปีค.ศ.1987 ดูซิ จะมีสักกี่ประเทศในโลก ที่เดินไปทางไหน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นมรดกโลกทั้งสิ้น น่าปลื้มใจจริงๆ
Pisa (เมืองปิซา) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และประมาณร้อยกิโลเมตรจากทางตะวันตกของเมืองฟลอเรนซ์ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงระบือไกลเกี่ยวกับหอเอนเมืองปิซา และยังมีความสำคัญมากทางด้านการค้าในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ว่าแล้วก็เดินไปยลหอเอนแห่งเมืองปิซาหน่อยเป็นไร
Tower of Pisa (หอเอนเมืองปิซา) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา เป็นหอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มีรูปทรงกระบอก 8 ชั้น สูง 183.3 ฟุต เอียง 3.97 องศา สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวเมื่อปีค.ศ.1173 แล้วเสร็จในปีค.ศ.1350 รวมเวลาการก่อสร้าง 175 ปี แต่การก่อสร้างได้หยุดชะงักลงเมื่อสร้างไปถึงชั้นสาม เนื่องจากพื้นใต้ดินบริเวณก่อสร้างนั้นนิ่มจึงเกิดการทรุดตัวต่อมาในปีค.ศ.1272 ได้ดำเนินการสร้างต่อ โดยสร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อความสมดุล แต่ก็ต้องหยุดการก่อสร้างอีกครั้งเพราะเกิดสงคราม แต่หลังจากสงครามสิ้นสุด ก็ได้ดำเนินการสร้างต่อรวมเป็น 7 ชั้น แล้วเสร็จในปีค.ศ. 1319 แต่ยอดหอระฆังมาสร้างเสร็จในภายหลัง ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกตาในเรื่องของความสมดุล และความมุ่งมั่นในการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ บวกกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ก็สมควรแล้วที่จะได้เป็นมรดกล้ำค่าของโลก
นอกจากนี้ เมืองปิซายังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆ กันคือ จตุรัสดูโอโมแห่งปิซา
Compo dei Miracoli (กัมโป เดย์ มิราโกลี หรือ จตุรัสดูโอโมแห่งปิซา) คำว่า “กัมโป เดย์ มิราโกลี” แปลว่า “จัตุรัสอัศจรรย์”เนื่องจากจัตุรัสที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแห่งนี้ เป็นบริเวณที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงจากสิ่งก่อสร้างหลักของสี่สถานที่อันสำคัญคือ มหาวิหารปิซา, หอเอนเมืองปิซา, หอศีลจุ่ม หรือ หอล้างบาป และสุสาน
เมืองนี้เอียงได้ใจ เดินไปเอียงไป เหมือนทุกอย่างบนโลกนี้มันเอียงอย่างไรพิกล เลยขอกระเถิบไปตะลอนต่ออีกเมืองหนึ่งในตอนต่อไป ก่อนที่คอและตาจะเอียงจนกู่ไม่กลับนะปิซา

“สระมรกต” แห่งจังหวัด “กระบี่”



ถ้าคุณกำลังอยากหลบหนี แต่ทะเลและภูเขาอาจฟังดูน่าเบื่อมากเกินไป เราจึงขอชวนคุณไปสัมผัสอีกโลกหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่าง “สระมรกต” แห่งจังหวัด “กระบี่” ที่ต้องบอกเลยว่า มีน้ำใสๆ มีฟ้าสวยๆ แถมด้วยไม้ใบเขียวๆ พร้อมให้นักท่องเที่ยวได้เก็บเกี่ยวความสุขได้อย่างชุ่มปอด
จังหวัดกระบี่นอกจากจะมีชื่อเสียงของทะเลที่สวยงามแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่า สถานที่แห่งนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจอีกที่หนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือ สระมรกต ที่อยู่ในอำเภอคลองท่อม โดย ณ เวลานี้ สถานที่ดังกล่าวก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen ที่หลายๆ คนให้ความสนใจกันมาก เพราะเอกลักษณ์ที่มีน้ำสวยใสสีเขียวอมฟ้ากลางใจป่า ซึ่งกำเนิดมาจากธารน้ำอุ่นในผืนป่าที่ราบต่ำของภาคใต้
สำหรับการเดินทางไปยังสระมรกตนับว่าเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าการปลอกเปลือกกล้วย เพราะถ้าคุณเดินทางจากตัวเมืองกระบี่ ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางอำเภอเหนือคลอง จนถึงอำเภอคลองท่อม ถึงแยกไฟแดงให้เลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอลำทับ ใช้ทางหลวงหมายเลข 4038 ประมาณ 100 เมตร แล้วเลี้ยวขวาไปทางอำเภอคลองท่อม ใต้-ทับไทร อีกประมาณ 17 กิโลเมตร ก็จะเห็นทางเข้าของสระมรกตแล้ว
การจะเจอของดีแน่นอนว่า นั่งรถต่อเดียวคงง่ายไปนิด ดังนั้น ธรรมชาติจึงสรรสร้างให้เหล่านักท่องเที่ยวจำเป็นต้องเดินเท้าเพื่อเข้าไปยังสระมรกตอีกประมาณ 800 เมตร หรือจะเลือกเดินเพื่อศึกษาธรรมชาติที่มีระยะการเดินประมาณ 2.7 กิโลเมตร แต่ก็จะมาบรรจบกันที่สระมรกตที่เดียวกัน โดยตลอดเส้นทางเดินธรรมชาติจะเป็นป่าร่มรื่นเขียวครึ้ม ร่มรื่น เต็มไปด้วยพรรณไม้ที่น่าสนใจ และยังเป็นแหล่งชมนกหายาก เช่น นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเต็นสร้อยคำสีน้ำตาล นกเงือกดำ และเป็นสถานที่ที่พบ นกแต้วแร้วท้องดำ ซึ่งเคยสูญพันธ์ไปนานเกือบ 100 ปี นอกจากนี้ ตลอดสองฝั่งข้างทางก็มีสายน้ำไหลผ่านชวนให้รับรู้ถึงความสดชื่นเย็นสบาย โดยก่อนจะไปถึงสระมรกตคุณก็สามารถพบกับสระแก้ว ที่น้ำใสสีเขียวเต็มไปด้วยพืชน้ำขึ้นอยู่ข้างใต้อย่างหนาแน่น
null
หลังจากย่ำเท้าสูดกลิ่นป่าแบบเดินสบายกันมาหอมปากหอมคอ ก็ถึงคราวของตัวแม่อย่าง สระมรกต ซึ่งเป็นสระน้ำที่มีสีเขียวมรกตสมชื่อ โดยมีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณ 25 เมตร ยาว 20 เมตร และมีระดับความลึกราว 1.5-2 เมตร ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะคราบตะไคร่เขียวอี๋ หากแต่เป็นแบคทีเรียและสาหร่ายในน้ำซึ่งจะทำให้น้ำมีสีต่างๆ แตกต่างกัน โดยอุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ 30-50 องศาเซลเซียส และนอกจากนั้นสายน้ำแร่ใต้ดินที่มีอยู่บริเวณนี้ยังทำให้สารแขวนลอยในน้ำตกตะกอน จึงทำให้น้ำมีความใสมากอีกด้วย ซึ่งถ้าเราเดินขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเห็นต้นน้ำที่ไหลเป็นสายลงมารวมกันจนกลายเป็นสระมรกตแห่งนี้
นักท่องเที่ยวที่มาถึงสระมรกตสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ เพราะไม่มีการสั่งห้ามลงสระ แต่เรื่องของอาหารการกินอาจต้องรับประทานกันให้เรียบร้อยมาเสียก่อน เพราะทางเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้ามาทานในบริเวณนี้ เนื่องจากเศษขยะที่หลายคนนำติดมือมาอาจทำให้ความงดงามของสระมรกตนั้นลดน้อยลง
ความสวยใสของทะเลฝั่งอันดามันงดงามเช่นไร เราต้องบอกเลยว่า สระมรกตก็มีความใสสะอาดและสวยสดไม่แพ้กัน ซึ่งถ้าคุณกำลังเบื่อกับแสงแดดแรงๆ ชวนให้ผิวไหม้เสีย หรือความเหนียวเหนอะจากเกลือและลมทะเล สระมรกตก็คงเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่เราอยากจะฝากไว้ในอ้อมอกนักเดินทาง ที่เมื่อไรก็ตามที่คุณได้ไปสัมผัสก็จะรับรู้ได้เลยว่า โลกของเรานั้นน่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก
null
ขอบคุณที่มาจาก e-magazine.info

ท่องเที่ยว ลักเซมเบิร์ก




ลักเซมเบิร์ก หรือ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก เป็นประเทศเล็กๆ ในทวีปยุโรป ที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังมากว่า 1,000 ปี โดยมีพื้นที่เพียงแค่ 2,586 ตารางกิโลเมตร และมีขนาดเล็กเป็นอันดับที่ 167 ของโลก ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อเดียวกันกับประเทศ เป็นนครรัฐที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เพราะตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป มีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศเยอรมันนี ทิศใต้ติดกับประเทศฝรั่งเศส และด้านทิศตะวันตกติดกับประเทศเบลเยียม
ประเทศลักเซมเบิร์ก มีประชากรที่ได้ทำการสำรวจเมื่อปี ค.ศ.2005 ประมาณ 469,000 คน โดยส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิค ซึ่งใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางราชการ แต่ในโรงเรียนจะใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาทางการเรียน การสอน และใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารทั่วไปอย่างกว้างขวาง
อุตสาหกรรมหลักที่เป็นรายได้ของประเทศ คือ การทำเหมืองแร่ โรงงานถลุงเหล็ก และโลหะ ส่วนทางด้านเกษรตกรรม มีการเพาะปลูก และการทำไร่ ทั้ง ไร่องุ่น ไร่ข้าวโพด และเพาะปลูกมันฝรั่ง
ถึงแม้ว่า ประเทศลักเซมเบิร์ก จะเป็นประเทศเล็กๆ ในดินแดนยุโรป แต่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และมนต์เสน่ห์ ที่ดึงดูดในดินแดนแห่งนี้ไม่ได้น้อยตามไปด้วย เพราะเป็นประเทศที่เงียบสงบ และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งความร่มรื่น อีกทั้ง สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่งดงาม ยังคงเป็นที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกได้อย่างไม่ขาดสาย
ประวัติศาสตร์ของประเทศลักเซมเบิร์ก เริ่มต้นจาก เคานท์ซิเอกฟิลด์แห่งลักเซมเบิร์ก เคานท์แห่งอาร์เดนเนส รวมถึงผู้ก่อตั้งราชวงศ์ลักเซมเบิร์ก ได้สร้างปราสาทบริเวณเมืองหลวงของลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน ซึ่งในสมัย 1,000 ปีย้อนหลัง นับว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากมีภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย จากภูเขาที่สลับซับซ้อนล้อมรอบเมืองอยู่หลายชั้น ซึ่งรู้จักกันในนามของ ยิบรอลตาทางเหนือ ราชวงศ์ลักเซมเบิร์กมีความรุ่งเรืองมากในช่วงปลายยุคกลางจนถึงศตวรรษที่ 15 โดยกษัตริย์หลายพระองค์ในยุโรปล้วนสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ลักเซมเบิร์ก อย่างเช่น จักรพรรดิที่ปกครองประเทศเยอรมันจำนวน 4 พระองค์ กษัตริย์ที่ปกครองประเทศโบฮีเมียจำนวน 4 พระองค์ และกษัตริย์ที่ปกครองประเทศฮังการีอีก 1 พระองค์ ซึ่งกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดิไฮนริคที่ 7 แห่งโรมัน, พระเจ้าจอห์นแห่งโบฮีเมีย และดยุคแวนเซลอสที่ 1 แห่งลักเซมเบิร์ก แต่ประเทศลักเซมเบิร์กก็พ่ายแพ้สงครามอยู่หลายต่อหลายครั้ง และได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของหลายประเทศ ทั้ง สเปน ฝรั่งเศส ออสเตรีย และรัสเซีย จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 ลักเซมเบิร์กจึงได้รับอิสรภาพอีกครั้ง แต่ก็ยังถูกปกครองด้วยกษัตริย์ของชาติอื่น ซึ่งท้ายสุด ตามสนธิสัญญาลอนดอน ลักเซมเบิร์กถึงได้รับรองสิทธิ์ในการแบ่งดินแดน และการปกครองตนเอง
นี่เป็นแค่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์โดยคร่าวๆ ของประเทศลักเซมเบิร์ก ที่อยากจะนำมาบอกกล่าว เพื่อเป็นการแนะนำตัวของน้องตัวเล็กแห่งยุโรปเท่านั้น เอาเป็นว่า ได้รู้จักกับประเทศนี้กันพอหอมปากหอมคอแล้ว งั้น…มาดูสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจกันบ้างดีกว่า เพื่อเป็นการตีสนิทเข้าไปอีกหน่อย มาเริ่มกันที่นี่กันก่อนเลย
Philharmonie Luxembourg คือ หอแสดงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศ เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตหลักในยุโรป ซึ่งจะจัดแสดงงานใหญ่ๆ ระดับประเทศ โดยศิลปินที่มีชื่อเสียง สถานที่แห่งนี้ ก็เปรียบเหมือนศูนย์วัฒนธรรมที่ทางประเทศลักเซมเบิร์กรับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนั่นเอง

Philharmonie Luxembourg ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 2005 และเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 มิถุนายน 2005 โดยงานคอนเสิร์ตครั้งแรกนั้น เต็มไปด้วยศิลปิน และนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้ากว่า 750 คน

สถาปัตยกรรมภายนอกของหอแสดงคอนเสิร์ตนี้ทำจากเหล็กสีขาว ประกอบด้วยเสาจำนวน 823 ต้น เรียงกันสามถึงสี่แถว ส่วนด้านในมีสิ่งอำนวยความสะดวกในเรื่องของเทคนิคทั้ง แสง สี เสียง อย่างดีเลิศ โดยมีพื้นที่ประมาณ 20,000 ตารางเมตร สามารถรับรองผู้ชมได้ 1,500 ที่นั่ง

นี่เป็นการเปิดตัวเรื่องราวพอเรียกน้ำย่อย กับประเทศลักเซมเบิร์กเท่านั้น ตอนต่อไปมาดูกันว่า ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ มีเสน่ห์อะไรดีที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมได้อย่างไม่ขาดสายทุกปี

อาหารที่ทำให้ผิวสวย



เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้วจ้า…หวังว่าผิวสวยๆ คงไม่รีบแห้งแตกระแหงไปกันก่อน ซึ่งการจะดูแลผิวให้สวยปิ๊งได้ตลอดทุกฤดูกาลก็ไม่ใช่ว่าการโชลมครีมให้ทั่วเรือนร่างเพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณมีผิวงามๆ เพราะถ้าจะขาวอมชมพูแถมเนียนนุ่มชุ่มชื่นต้องเริ่มจากภายใน
สำหรับเดือนนี้ เราขอชวนทุกท่านมาตามติดกับสารอาหารดีๆ อย่าง ซีลีเนียม (SELENIUM) ซึ่งเป็นเกลือแร่ส่วนน้อยที่สำคัญต่อร่างกายและเจ้าสารนี่แหละที่จะนำความสวยมาสู่ผิวของคุณ
ซีลีเนียม (SELENIUM)
ซีลีเนียม มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของวิตามินอี โดยบทบาทของซีลีเนียมจะเป็นส่วนประกอบของน้ำย่อยกลูทาไทโอน เปอร์ออกซิเดส ซึ่งกระตุ้นการกำจัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และออแกนิคเปอร์ออกไซด์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกรดไขมันต่างๆ โดยวิตามินอีจะทำหน้าที่ป้องกันการเกิดสารเปอร์ออกไซด์ ในขณะที่ซีลีเนียมทำหน้าที่กำจัดสารเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้นให้หมดไป
ในเรื่องของการดูดซึม เจ้าสารตัวนี้จะถูกดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็ก โดยร่างกายจะเก็บซีลีเนียมไว้ในตับและไตมากเป็น 4-5 เท่า ของซีลีเนียมที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ ซึ่งตามปรกติซีลีเนียมจะถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่ปรากฏมีซีลีเนียมถูกขับออกมาทางอุจจาระ แสดงว่าเกิดการดูดซึมที่ไม่ถูกต้องและคุณควรหาสารอาหารตัวนี้มาเติมให้กับร่างกาย
ซีลีเนียมจะช่วยเสริมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของวิตามินอี ให้รักษาเนื้อเยื่อต่างๆ และชะลอการแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติป้องกันการแก่ก่อน หากร่างกายของเราได้รับซีลีเนียมไม่เพียงพอ แน่นอนว่าเจ้าความแก่ก่อนกำหนดจะมาเยือนในเร็ว นั่นเพราะซีลีเนียมสามารถรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการรับซีลีเนียมในปริมาณสูงเป็นมิลลิกรัมทุกวันก็สามารถทำให้เกิดพิษได้ โดยปริมาณเพียง 5 มิลลิกรัม อาจทำให้เกิดการอาเจียน ผมร่วง และเป็นแผลที่ผิวหนัง ซึ่งการรับซีลีเนียมตามธรรมชาติจึงจะดีที่สุด
null
ประโยชน์จากซีลีเนียม
  • ทำงานร่วมกับวิตามินอี และเสริมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของวิตามินอีรักษาเนื้อเยื่อต่างๆ และชะลอการแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติป้องกันการแก่ก่อนวัย
  • มีบทบาทเกี่ยวกับการหายใจของเนื้อเยื่อโดยทำหน้าที่ช่วยส่งอีเล็คตรอน
  • ช่วยหัวใจทำงานดีขึ้น และส่งเสริมการสร้างกำลังฃองเซลล์โดยการนำออกซิเจนไปเลี้ยงให้เพียงพอ
  • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ และควบคุมสุขภาพของสายตา ผิวหนัง และผม
  • ช่วยให้ประจำเดือนของเพศหญิงเป็นไปโดยสม่ำเสมอ
  • ซีลีเนียมเป็นเกลือแร่ต้านพิษ หรือละลายพิษต่างๆ ในร่างกาย
  • รักษาความยืดหยุ่นของเนื้อหนัง
เมื่อขาดซีลีเนียม
ซีลีเนียมนับเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก ซึ่งหากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอคุณอาจต้องพบกับหลากหลายโรคและที่สำคัญ ผิวคงไม่สวยแน่แท้
การขาดซีลีเนียมจะนำไปสู่การแก่ก่อนกำหนด เพราะว่าซีลีเนียมช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ถ้าขาดในภาวะตั้งครรภ์จะทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นปัญญาอ่อน และถ้าขาดซีลีเนียมในตอนเด็กอาจทำให้เด็กตายอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อรับมากไป
ถ้าคุณได้รับซีลีเนียม 5-10 ส่วนต่อล้าน จะถือว่าเป็นพิษ โดยสารอาหารตัวนี้จะไปทำหน้าที่แทนกำมะถันในอณูของเมทไธโอนีน ซีสตีน และซีสเตอีน ทำให้ร่างกายใช้กรดอมิโน 3 ตัวนี้ไม่ได้
หาซีลีเนียมได้จากไหน
สำหรับอาหารที่มากด้วยสารอาหารที่มีซีลีเนียมก็ได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์ เครื่องในสัตว์ ปลา หอย ข้าวที่ยังไม่ขัดสี ซีเรียล และผลิตภัณฑ์นม นอกจากนี้ ยังสามารถหาได้จากกระเทียม เห็ด บรอคโคลี่ หัวหอม มะเขือเทศ สัตว์ปีก ไข่ และอาหารทะเลต่างๆ
ส่วนปริมาณของซีลีเนียมที่ได้จากพืชผักที่ปลูกบนดินนับว่ามีซีลีเนียมโดยตรง ขณะที่ซีลีเนียมจากพืชผักที่เราให้สัตว์กินถือว่าเป็นซีลีเนียมทางอ้อม และบางครั้งก็พบว่ามีปริมาณซีลีเนียมสูง แต่ถ้ามีกำมะถันปนลงไปในปุ๋ยหรือดินที่ปลูก กำมะถันจะกั้นการดูดซึมเกลือแร่ของพืช ซึ่งทำให้เราได้ซีลีเนียมน้อยลงหรือไม่ได้เลย
ซีลีเนียมในแต่ละวัน
ในความจริงแล้วยังไม่มีข้อมูลว่าร่างกายคนเราต้องการซีลีเนียมมากน้อยเท่าใด แต่เชื่อกันว่าหญิงและชายอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 0.05-0.2 มิลลิกรัมต่อวัน เด็ก 1-3 ปี และ 4-6 ปี ควรได้รับ 0.02-0.08 และ 0.03-0.12 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 3-5 เดือน และ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 0.01-0.04 และ 0.02-0.06 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนทารกแรกเกิดถึง 2 เดือน ให้เลี้ยงด้วยนมแม่
null
ขอบคุณที่มาจาก e-magazine.info