โบสถ์หยดเลือด เซนต์ปีเตอร์เบิร์กประเทศรัสเซีย โบสถ์แห่งการคืนชีพ


โบสถ์หยดเลือด เซนต์ปีเตอร์เบิร์กประเทศรัสเซีย

http://farm4.static.flickr.com/3632/3405263680_4c06d54a9a.jpg
หลายคนสับสนระหว่างโบสถ์หยดเลือดกับวิหารเซนต์ บาเซิล ว่าอันไหนเป็นอันไหน วิหารเซนต์ บาเซิลของพระเจ้าอีวานขาโหดนั้นประจำอยู่กรุงมอสโก แต่โบสถ์หยดเลือดที่เซอต์ ปีเตอร์เบิร์กนั้นเป็นของที่ระลึกถึงพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ย้อนกลับดูเรื่องราวที่น่าฉงนก่อนที่โบสถ์หยดเลือดจะเสร็จสมบูรณ์ ว่ากันว่าก่อนที่จะมีโบสถ์อันงดงามอยู่ข้างคลอง Griboyedov นั้น พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ทรงไม่เชื่อคำทำนายของโหรที่ทักว่าไม่ให้จัดพิธีอภิเษกสมรสใน 3 ปีนี้ ภายหลังจากที่พระมเหสีของพระองค์เพิ่งสิ้นพระชนม์ไป แต่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดรอ์ที่ 2 กลับดื้อดึงจะแต่งท่าเดียวก็ได้แต่งสมใจในช้วงต้นปี 1881 ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ทรงถูกลอบปรงพระชนม์ในเดือนมีนาปีเดียวกัน กลายเป็นที่มของโบสถ์หยดเลือดแห่งนี้
http://farm4.static.flickr.com/3263/3121839735_8b5188e9d4.jpg
เรื่องราวก็ปลงพระชนม์คงต่อเนื่องจากหลายเรื่องทั้ง เช่นการที่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์พาประเทศเข้าร่วมสงครามไครเมียและพ่ายแพ้กลับมา หรือจะเป็นการคิดที่จะปลดปล่อยคนชั้นทาส ชาวนาและกรรมกรให้เป็นอิสระ มันทำให้เกิดความไม่พอใจต่อเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย แถมยังมีกลุ่มชนที่ออกมาต่อต้านอ้างตนว่ารักชาติต่อต้านการปฏิรูปในหลายๆ ด้านของพระองค์ เรียกได้ว่าทำอะไรก็ไม่พอใจใครสักกลุ่ม จึงทำให้ถูกลอบปลงพระชนม์นั้นครั้งไม่ถ้วน แต่ก็รอดจนมาถือแผนการณ์สุดท้าย ขณะเสด็จกลับจากการเยี่ยมกองทหารพระองค์ถูกกลุ่มกบฏขว้างปาระเบิดใส่รถม้าที่นั่งบริเวณที่ตั้งของโบสถ์นี้ พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสด็จสวรรคตไปในที่สุด
http://farm4.static.flickr.com/3198/3404452993_cfdd24e30b.jpg
จึงทำให้เกิดโบสถ์แห่งการคืนชีพแห่งนี้ขึ้น จากเงินบริจาคของประชาชนทั่วประเทศรัสเซีย เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อศตวรรษที่ 17 ใช้เวลาก่อนสร้างยาวนานว่า 20 ปี เป็นงานศิลปะแบบรัสเซียดั้งเดิม ประดับประดาด้วยโมเสจพร้อมกับรูปภาพโมเสจขนาดใหญ่ยักษ์เป็นจุดขายของที่นี่ อาจจะมีบางทรงหลุดเสียไปตามกาลเวลาเพราะในช่วงนี้โบสถ์หยดเลือดแห่งนี้ถูกกลุ่มคนสถาปนาให้ความงดงามของมันเป็นเพียงโรงเก็บมันฝรั่งประจำเมืองในยุคมืดโซเวียต ก่อนจะมีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในช่วง 1990 และรัฐบาลก็เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อปี 1997 ให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมอันงดงามนี้ได้อย่างเต็มตา
http://farm3.static.flickr.com/2762/4151076659_c00000a2c6.jpg
ขอบคุณที่มา  e-magazine.info

หนึ่งในมรดกโลกของอิตาลี



เมื่ออยู่ต่างถิ่น หัวใจของนักเดินทางก็เต้นระรัวเป็นธรรมดาด้วยความกระหายใคร่รู้ คอยลุ้นอยู่บนความตื่นเต้นว่ากำลังจะได้ประสบการณ์ใหม่อะไรอีก ภายหลังจากการลืมตาในวันใหม่ บนโลกใบเดิมที่ต่างละติจูดกับแหล่งกำเนิด และแล้วร่างน้อยๆ ก็ปรากฎกายที่เมืองปิซาเข้าจนได้ หัวใจก็เต้นตึกตั่ก นำพาสองเท้าก้าวไป โอว…แม่เจ้า มันเอียงจริงด้วย แล้วทำไมมันเอียงอยู่อย่างนั้นนับร้อยปีไปดูกัน
เริ่มจากการรู้จักเมืองปิซากันก่อนเป็นไร เมืองที่เป็นอีกหนึ่งในมรดกโลกของอิตาลี ที่ได้รับการรับรองโดยองค์การยูเนสโกไปเมื่อปีค.ศ.1987 ดูซิ จะมีสักกี่ประเทศในโลก ที่เดินไปทางไหน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นมรดกโลกทั้งสิ้น น่าปลื้มใจจริงๆ
Pisa (เมืองปิซา) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และประมาณร้อยกิโลเมตรจากทางตะวันตกของเมืองฟลอเรนซ์ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงระบือไกลเกี่ยวกับหอเอนเมืองปิซา และยังมีความสำคัญมากทางด้านการค้าในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ว่าแล้วก็เดินไปยลหอเอนแห่งเมืองปิซาหน่อยเป็นไร
Tower of Pisa (หอเอนเมืองปิซา) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา เป็นหอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มีรูปทรงกระบอก 8 ชั้น สูง 183.3 ฟุต เอียง 3.97 องศา สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวเมื่อปีค.ศ.1173 แล้วเสร็จในปีค.ศ.1350 รวมเวลาการก่อสร้าง 175 ปี แต่การก่อสร้างได้หยุดชะงักลงเมื่อสร้างไปถึงชั้นสาม เนื่องจากพื้นใต้ดินบริเวณก่อสร้างนั้นนิ่มจึงเกิดการทรุดตัวต่อมาในปีค.ศ.1272 ได้ดำเนินการสร้างต่อ โดยสร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อความสมดุล แต่ก็ต้องหยุดการก่อสร้างอีกครั้งเพราะเกิดสงคราม แต่หลังจากสงครามสิ้นสุด ก็ได้ดำเนินการสร้างต่อรวมเป็น 7 ชั้น แล้วเสร็จในปีค.ศ. 1319 แต่ยอดหอระฆังมาสร้างเสร็จในภายหลัง ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกตาในเรื่องของความสมดุล และความมุ่งมั่นในการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ บวกกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ก็สมควรแล้วที่จะได้เป็นมรดกล้ำค่าของโลก
นอกจากนี้ เมืองปิซายังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆ กันคือ จตุรัสดูโอโมแห่งปิซา
Compo dei Miracoli (กัมโป เดย์ มิราโกลี หรือ จตุรัสดูโอโมแห่งปิซา) คำว่า “กัมโป เดย์ มิราโกลี” แปลว่า “จัตุรัสอัศจรรย์”เนื่องจากจัตุรัสที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแห่งนี้ เป็นบริเวณที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงจากสิ่งก่อสร้างหลักของสี่สถานที่อันสำคัญคือ มหาวิหารปิซา, หอเอนเมืองปิซา, หอศีลจุ่ม หรือ หอล้างบาป และสุสาน
เมืองนี้เอียงได้ใจ เดินไปเอียงไป เหมือนทุกอย่างบนโลกนี้มันเอียงอย่างไรพิกล เลยขอกระเถิบไปตะลอนต่ออีกเมืองหนึ่งในตอนต่อไป ก่อนที่คอและตาจะเอียงจนกู่ไม่กลับนะปิซา

“สระมรกต” แห่งจังหวัด “กระบี่”



ถ้าคุณกำลังอยากหลบหนี แต่ทะเลและภูเขาอาจฟังดูน่าเบื่อมากเกินไป เราจึงขอชวนคุณไปสัมผัสอีกโลกหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่าง “สระมรกต” แห่งจังหวัด “กระบี่” ที่ต้องบอกเลยว่า มีน้ำใสๆ มีฟ้าสวยๆ แถมด้วยไม้ใบเขียวๆ พร้อมให้นักท่องเที่ยวได้เก็บเกี่ยวความสุขได้อย่างชุ่มปอด
จังหวัดกระบี่นอกจากจะมีชื่อเสียงของทะเลที่สวยงามแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่า สถานที่แห่งนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจอีกที่หนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือ สระมรกต ที่อยู่ในอำเภอคลองท่อม โดย ณ เวลานี้ สถานที่ดังกล่าวก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen ที่หลายๆ คนให้ความสนใจกันมาก เพราะเอกลักษณ์ที่มีน้ำสวยใสสีเขียวอมฟ้ากลางใจป่า ซึ่งกำเนิดมาจากธารน้ำอุ่นในผืนป่าที่ราบต่ำของภาคใต้
สำหรับการเดินทางไปยังสระมรกตนับว่าเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าการปลอกเปลือกกล้วย เพราะถ้าคุณเดินทางจากตัวเมืองกระบี่ ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางอำเภอเหนือคลอง จนถึงอำเภอคลองท่อม ถึงแยกไฟแดงให้เลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอลำทับ ใช้ทางหลวงหมายเลข 4038 ประมาณ 100 เมตร แล้วเลี้ยวขวาไปทางอำเภอคลองท่อม ใต้-ทับไทร อีกประมาณ 17 กิโลเมตร ก็จะเห็นทางเข้าของสระมรกตแล้ว
การจะเจอของดีแน่นอนว่า นั่งรถต่อเดียวคงง่ายไปนิด ดังนั้น ธรรมชาติจึงสรรสร้างให้เหล่านักท่องเที่ยวจำเป็นต้องเดินเท้าเพื่อเข้าไปยังสระมรกตอีกประมาณ 800 เมตร หรือจะเลือกเดินเพื่อศึกษาธรรมชาติที่มีระยะการเดินประมาณ 2.7 กิโลเมตร แต่ก็จะมาบรรจบกันที่สระมรกตที่เดียวกัน โดยตลอดเส้นทางเดินธรรมชาติจะเป็นป่าร่มรื่นเขียวครึ้ม ร่มรื่น เต็มไปด้วยพรรณไม้ที่น่าสนใจ และยังเป็นแหล่งชมนกหายาก เช่น นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเต็นสร้อยคำสีน้ำตาล นกเงือกดำ และเป็นสถานที่ที่พบ นกแต้วแร้วท้องดำ ซึ่งเคยสูญพันธ์ไปนานเกือบ 100 ปี นอกจากนี้ ตลอดสองฝั่งข้างทางก็มีสายน้ำไหลผ่านชวนให้รับรู้ถึงความสดชื่นเย็นสบาย โดยก่อนจะไปถึงสระมรกตคุณก็สามารถพบกับสระแก้ว ที่น้ำใสสีเขียวเต็มไปด้วยพืชน้ำขึ้นอยู่ข้างใต้อย่างหนาแน่น
null
หลังจากย่ำเท้าสูดกลิ่นป่าแบบเดินสบายกันมาหอมปากหอมคอ ก็ถึงคราวของตัวแม่อย่าง สระมรกต ซึ่งเป็นสระน้ำที่มีสีเขียวมรกตสมชื่อ โดยมีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณ 25 เมตร ยาว 20 เมตร และมีระดับความลึกราว 1.5-2 เมตร ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะคราบตะไคร่เขียวอี๋ หากแต่เป็นแบคทีเรียและสาหร่ายในน้ำซึ่งจะทำให้น้ำมีสีต่างๆ แตกต่างกัน โดยอุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ 30-50 องศาเซลเซียส และนอกจากนั้นสายน้ำแร่ใต้ดินที่มีอยู่บริเวณนี้ยังทำให้สารแขวนลอยในน้ำตกตะกอน จึงทำให้น้ำมีความใสมากอีกด้วย ซึ่งถ้าเราเดินขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเห็นต้นน้ำที่ไหลเป็นสายลงมารวมกันจนกลายเป็นสระมรกตแห่งนี้
นักท่องเที่ยวที่มาถึงสระมรกตสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ เพราะไม่มีการสั่งห้ามลงสระ แต่เรื่องของอาหารการกินอาจต้องรับประทานกันให้เรียบร้อยมาเสียก่อน เพราะทางเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้ามาทานในบริเวณนี้ เนื่องจากเศษขยะที่หลายคนนำติดมือมาอาจทำให้ความงดงามของสระมรกตนั้นลดน้อยลง
ความสวยใสของทะเลฝั่งอันดามันงดงามเช่นไร เราต้องบอกเลยว่า สระมรกตก็มีความใสสะอาดและสวยสดไม่แพ้กัน ซึ่งถ้าคุณกำลังเบื่อกับแสงแดดแรงๆ ชวนให้ผิวไหม้เสีย หรือความเหนียวเหนอะจากเกลือและลมทะเล สระมรกตก็คงเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่เราอยากจะฝากไว้ในอ้อมอกนักเดินทาง ที่เมื่อไรก็ตามที่คุณได้ไปสัมผัสก็จะรับรู้ได้เลยว่า โลกของเรานั้นน่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก
null
ขอบคุณที่มาจาก e-magazine.info

ท่องเที่ยว ลักเซมเบิร์ก




ลักเซมเบิร์ก หรือ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก เป็นประเทศเล็กๆ ในทวีปยุโรป ที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังมากว่า 1,000 ปี โดยมีพื้นที่เพียงแค่ 2,586 ตารางกิโลเมตร และมีขนาดเล็กเป็นอันดับที่ 167 ของโลก ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อเดียวกันกับประเทศ เป็นนครรัฐที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เพราะตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป มีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศเยอรมันนี ทิศใต้ติดกับประเทศฝรั่งเศส และด้านทิศตะวันตกติดกับประเทศเบลเยียม
ประเทศลักเซมเบิร์ก มีประชากรที่ได้ทำการสำรวจเมื่อปี ค.ศ.2005 ประมาณ 469,000 คน โดยส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิค ซึ่งใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางราชการ แต่ในโรงเรียนจะใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาทางการเรียน การสอน และใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารทั่วไปอย่างกว้างขวาง
อุตสาหกรรมหลักที่เป็นรายได้ของประเทศ คือ การทำเหมืองแร่ โรงงานถลุงเหล็ก และโลหะ ส่วนทางด้านเกษรตกรรม มีการเพาะปลูก และการทำไร่ ทั้ง ไร่องุ่น ไร่ข้าวโพด และเพาะปลูกมันฝรั่ง
ถึงแม้ว่า ประเทศลักเซมเบิร์ก จะเป็นประเทศเล็กๆ ในดินแดนยุโรป แต่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และมนต์เสน่ห์ ที่ดึงดูดในดินแดนแห่งนี้ไม่ได้น้อยตามไปด้วย เพราะเป็นประเทศที่เงียบสงบ และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งความร่มรื่น อีกทั้ง สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่งดงาม ยังคงเป็นที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกได้อย่างไม่ขาดสาย
ประวัติศาสตร์ของประเทศลักเซมเบิร์ก เริ่มต้นจาก เคานท์ซิเอกฟิลด์แห่งลักเซมเบิร์ก เคานท์แห่งอาร์เดนเนส รวมถึงผู้ก่อตั้งราชวงศ์ลักเซมเบิร์ก ได้สร้างปราสาทบริเวณเมืองหลวงของลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน ซึ่งในสมัย 1,000 ปีย้อนหลัง นับว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากมีภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย จากภูเขาที่สลับซับซ้อนล้อมรอบเมืองอยู่หลายชั้น ซึ่งรู้จักกันในนามของ ยิบรอลตาทางเหนือ ราชวงศ์ลักเซมเบิร์กมีความรุ่งเรืองมากในช่วงปลายยุคกลางจนถึงศตวรรษที่ 15 โดยกษัตริย์หลายพระองค์ในยุโรปล้วนสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ลักเซมเบิร์ก อย่างเช่น จักรพรรดิที่ปกครองประเทศเยอรมันจำนวน 4 พระองค์ กษัตริย์ที่ปกครองประเทศโบฮีเมียจำนวน 4 พระองค์ และกษัตริย์ที่ปกครองประเทศฮังการีอีก 1 พระองค์ ซึ่งกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดิไฮนริคที่ 7 แห่งโรมัน, พระเจ้าจอห์นแห่งโบฮีเมีย และดยุคแวนเซลอสที่ 1 แห่งลักเซมเบิร์ก แต่ประเทศลักเซมเบิร์กก็พ่ายแพ้สงครามอยู่หลายต่อหลายครั้ง และได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของหลายประเทศ ทั้ง สเปน ฝรั่งเศส ออสเตรีย และรัสเซีย จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 ลักเซมเบิร์กจึงได้รับอิสรภาพอีกครั้ง แต่ก็ยังถูกปกครองด้วยกษัตริย์ของชาติอื่น ซึ่งท้ายสุด ตามสนธิสัญญาลอนดอน ลักเซมเบิร์กถึงได้รับรองสิทธิ์ในการแบ่งดินแดน และการปกครองตนเอง
นี่เป็นแค่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์โดยคร่าวๆ ของประเทศลักเซมเบิร์ก ที่อยากจะนำมาบอกกล่าว เพื่อเป็นการแนะนำตัวของน้องตัวเล็กแห่งยุโรปเท่านั้น เอาเป็นว่า ได้รู้จักกับประเทศนี้กันพอหอมปากหอมคอแล้ว งั้น…มาดูสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจกันบ้างดีกว่า เพื่อเป็นการตีสนิทเข้าไปอีกหน่อย มาเริ่มกันที่นี่กันก่อนเลย
Philharmonie Luxembourg คือ หอแสดงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศ เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตหลักในยุโรป ซึ่งจะจัดแสดงงานใหญ่ๆ ระดับประเทศ โดยศิลปินที่มีชื่อเสียง สถานที่แห่งนี้ ก็เปรียบเหมือนศูนย์วัฒนธรรมที่ทางประเทศลักเซมเบิร์กรับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนั่นเอง

Philharmonie Luxembourg ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 2005 และเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 มิถุนายน 2005 โดยงานคอนเสิร์ตครั้งแรกนั้น เต็มไปด้วยศิลปิน และนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้ากว่า 750 คน

สถาปัตยกรรมภายนอกของหอแสดงคอนเสิร์ตนี้ทำจากเหล็กสีขาว ประกอบด้วยเสาจำนวน 823 ต้น เรียงกันสามถึงสี่แถว ส่วนด้านในมีสิ่งอำนวยความสะดวกในเรื่องของเทคนิคทั้ง แสง สี เสียง อย่างดีเลิศ โดยมีพื้นที่ประมาณ 20,000 ตารางเมตร สามารถรับรองผู้ชมได้ 1,500 ที่นั่ง

นี่เป็นการเปิดตัวเรื่องราวพอเรียกน้ำย่อย กับประเทศลักเซมเบิร์กเท่านั้น ตอนต่อไปมาดูกันว่า ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ มีเสน่ห์อะไรดีที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมได้อย่างไม่ขาดสายทุกปี

อาหารที่ทำให้ผิวสวย



เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้วจ้า…หวังว่าผิวสวยๆ คงไม่รีบแห้งแตกระแหงไปกันก่อน ซึ่งการจะดูแลผิวให้สวยปิ๊งได้ตลอดทุกฤดูกาลก็ไม่ใช่ว่าการโชลมครีมให้ทั่วเรือนร่างเพียงอย่างเดียวจะทำให้คุณมีผิวงามๆ เพราะถ้าจะขาวอมชมพูแถมเนียนนุ่มชุ่มชื่นต้องเริ่มจากภายใน
สำหรับเดือนนี้ เราขอชวนทุกท่านมาตามติดกับสารอาหารดีๆ อย่าง ซีลีเนียม (SELENIUM) ซึ่งเป็นเกลือแร่ส่วนน้อยที่สำคัญต่อร่างกายและเจ้าสารนี่แหละที่จะนำความสวยมาสู่ผิวของคุณ
ซีลีเนียม (SELENIUM)
ซีลีเนียม มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของวิตามินอี โดยบทบาทของซีลีเนียมจะเป็นส่วนประกอบของน้ำย่อยกลูทาไทโอน เปอร์ออกซิเดส ซึ่งกระตุ้นการกำจัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และออแกนิคเปอร์ออกไซด์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกรดไขมันต่างๆ โดยวิตามินอีจะทำหน้าที่ป้องกันการเกิดสารเปอร์ออกไซด์ ในขณะที่ซีลีเนียมทำหน้าที่กำจัดสารเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้นให้หมดไป
ในเรื่องของการดูดซึม เจ้าสารตัวนี้จะถูกดูดซึมได้ดีที่ลำไส้เล็ก โดยร่างกายจะเก็บซีลีเนียมไว้ในตับและไตมากเป็น 4-5 เท่า ของซีลีเนียมที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ ซึ่งตามปรกติซีลีเนียมจะถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่ปรากฏมีซีลีเนียมถูกขับออกมาทางอุจจาระ แสดงว่าเกิดการดูดซึมที่ไม่ถูกต้องและคุณควรหาสารอาหารตัวนี้มาเติมให้กับร่างกาย
ซีลีเนียมจะช่วยเสริมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของวิตามินอี ให้รักษาเนื้อเยื่อต่างๆ และชะลอการแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติป้องกันการแก่ก่อน หากร่างกายของเราได้รับซีลีเนียมไม่เพียงพอ แน่นอนว่าเจ้าความแก่ก่อนกำหนดจะมาเยือนในเร็ว นั่นเพราะซีลีเนียมสามารถรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการรับซีลีเนียมในปริมาณสูงเป็นมิลลิกรัมทุกวันก็สามารถทำให้เกิดพิษได้ โดยปริมาณเพียง 5 มิลลิกรัม อาจทำให้เกิดการอาเจียน ผมร่วง และเป็นแผลที่ผิวหนัง ซึ่งการรับซีลีเนียมตามธรรมชาติจึงจะดีที่สุด
null
ประโยชน์จากซีลีเนียม
  • ทำงานร่วมกับวิตามินอี และเสริมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของวิตามินอีรักษาเนื้อเยื่อต่างๆ และชะลอการแก่ตายของเซลล์ตามธรรมชาติป้องกันการแก่ก่อนวัย
  • มีบทบาทเกี่ยวกับการหายใจของเนื้อเยื่อโดยทำหน้าที่ช่วยส่งอีเล็คตรอน
  • ช่วยหัวใจทำงานดีขึ้น และส่งเสริมการสร้างกำลังฃองเซลล์โดยการนำออกซิเจนไปเลี้ยงให้เพียงพอ
  • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ และควบคุมสุขภาพของสายตา ผิวหนัง และผม
  • ช่วยให้ประจำเดือนของเพศหญิงเป็นไปโดยสม่ำเสมอ
  • ซีลีเนียมเป็นเกลือแร่ต้านพิษ หรือละลายพิษต่างๆ ในร่างกาย
  • รักษาความยืดหยุ่นของเนื้อหนัง
เมื่อขาดซีลีเนียม
ซีลีเนียมนับเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก ซึ่งหากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอคุณอาจต้องพบกับหลากหลายโรคและที่สำคัญ ผิวคงไม่สวยแน่แท้
การขาดซีลีเนียมจะนำไปสู่การแก่ก่อนกำหนด เพราะว่าซีลีเนียมช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ถ้าขาดในภาวะตั้งครรภ์จะทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นปัญญาอ่อน และถ้าขาดซีลีเนียมในตอนเด็กอาจทำให้เด็กตายอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อรับมากไป
ถ้าคุณได้รับซีลีเนียม 5-10 ส่วนต่อล้าน จะถือว่าเป็นพิษ โดยสารอาหารตัวนี้จะไปทำหน้าที่แทนกำมะถันในอณูของเมทไธโอนีน ซีสตีน และซีสเตอีน ทำให้ร่างกายใช้กรดอมิโน 3 ตัวนี้ไม่ได้
หาซีลีเนียมได้จากไหน
สำหรับอาหารที่มากด้วยสารอาหารที่มีซีลีเนียมก็ได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์ เครื่องในสัตว์ ปลา หอย ข้าวที่ยังไม่ขัดสี ซีเรียล และผลิตภัณฑ์นม นอกจากนี้ ยังสามารถหาได้จากกระเทียม เห็ด บรอคโคลี่ หัวหอม มะเขือเทศ สัตว์ปีก ไข่ และอาหารทะเลต่างๆ
ส่วนปริมาณของซีลีเนียมที่ได้จากพืชผักที่ปลูกบนดินนับว่ามีซีลีเนียมโดยตรง ขณะที่ซีลีเนียมจากพืชผักที่เราให้สัตว์กินถือว่าเป็นซีลีเนียมทางอ้อม และบางครั้งก็พบว่ามีปริมาณซีลีเนียมสูง แต่ถ้ามีกำมะถันปนลงไปในปุ๋ยหรือดินที่ปลูก กำมะถันจะกั้นการดูดซึมเกลือแร่ของพืช ซึ่งทำให้เราได้ซีลีเนียมน้อยลงหรือไม่ได้เลย
ซีลีเนียมในแต่ละวัน
ในความจริงแล้วยังไม่มีข้อมูลว่าร่างกายคนเราต้องการซีลีเนียมมากน้อยเท่าใด แต่เชื่อกันว่าหญิงและชายอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 0.05-0.2 มิลลิกรัมต่อวัน เด็ก 1-3 ปี และ 4-6 ปี ควรได้รับ 0.02-0.08 และ 0.03-0.12 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 3-5 เดือน และ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 0.01-0.04 และ 0.02-0.06 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนทารกแรกเกิดถึง 2 เดือน ให้เลี้ยงด้วยนมแม่
null
ขอบคุณที่มาจาก e-magazine.info


รสแบบไหนดีต่อสุขภาพ



ขึ้นชื่อว่าเมนูอาหารไทย รสชาติดุเด็ดเผ็ดมันอย่าง เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ต้องมากันครบ ยิ่งร้านไหนปรุงอาหารได้จัดจ้านก็ยิ่งได้รับความนิยมอย่างแน่นอน ซึ่งคุณรู้ไหมว่า เจ้ารสชาติแซ่บๆ นี่แหละที่เป็นเหมือนเพชรฆาตเงียบอันน่าสะพรึงกลัว
จงระวังรสจัดจ้านก่อนจะเข้าสู่โหมดเชียร์การรับประทานรสจืด เราขอชวนทุกท่านมาทำความรู้จักกับสารพัดความอันตรายที่ตามติดมากับรสชาติของอาหารแต่ละชนิดกันก่อนดีกว่าว่าจะร้ายแรงเพียงใด
รสเค็มรสเค็มคือรสชาติหนึ่งที่หลายคนชื่นชอบ แม้เราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่า ความเค็มที่มากเกินไปจะเป็นปัญหาต่อสุขภาพ ซึ่งอาหารไทยหลายชนิดมีส่วนผสมของเกลือในปริมาณสูง โดยความเค็มยังแอบซุกซ่อนอยู่ในอาหารสำเร็จรูปอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมอบกรอบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ผักดอง และซอสต่างๆ
นอกจากนี้ อาหารตามธรรมชาติบางอย่างก็ยังมีโซเดียมสูง เช่น อาหารทะเลและเนื้อสัตว์ต่างๆ นั่นจึงหมายความว่า เวลาที่เราจะรับประทานอะไรก็ควรต้องระมัดระวังในการปรุงรสพอสมควร มิฉะนั้นอาจสุ่มเสี่ยงต่อโรคภัยที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมสูงเกิน
สำหรับโทษของการกินเค็มจัดคือ ทำให้เป็นโรคไต ความดันโลหิตสูง แต่ความอันตรายยังไม่หมดอยู่เพียงเท่านั้น เพราะความเค็มยังอาจก่อให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ โรคหัวใจ อาการบวม หัวใจวาย ริดสีดวง ไมเกรน และภาวะกระดูกบาง ซึ่งถ้าเราทานเกลือให้น้อยลงจะส่งผลให้การทำงานของอินซูลินดีขึ้น
null

รสหวานเมื่อพูดถึงที่มาของความหวาน น้ำตาลก็คือสิ่งที่หลายคนนึกถึง ซึ่งเจ้าน้ำตาลหวานหยดนี่แหละที่ถูกจัดให้อยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานต่อร่างกายในทันทีที่กินเข้าไป ส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าคุณเป็นผู้ที่หลงใหลในความหวานก็ควรระวังไว้สักนิด เพราะหวานมากไปก็ทำให้อ้วน เนื่องจากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปจนก่อให้เกิดไขมันสะสม
นอกจากนี้ อาหารรสหวานยังเป็นอันตรายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปมากๆ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขาดความสมดุล ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมามากกว่าปกติเพื่อกำจัดปริมาณน้ำตาลในเลือด ยิ่งคนเป็นเบาหวานกินหวานมากเท่าไรก็จะยิ่งให้ตับอ่อนทำงานหนัก และเป็นอันตรายมากเท่านั้น
รสเปรี้ยวรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดมีคุณสมบัติสำคัญในการกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้ปล่อยน้ำย่อย ช่วยในการดูดซึมอาหารของร่างกาย ฟอกเลือด เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยขับเสมหะ และแก้เลือดออกตามไรฟัน ซึ่งการรับรสเปรี๊ยวจากธรรมชาติอย่าง มะนาว มะกรูด มะขาม มะม่วงดิบ หรือสับปะรด นับว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากนัก แต่ถ้าเป็นความเปรี้ยวที่มาจากสารสังเคราะห์อย่าง น้ำส้มสายชู หากบริโภคมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นเดียวกันกัน โดยโรคที่มากับอาหารรสเปรี้ยวคือ ท้องเสีย ร้อนใน ระบบน้ำเหลืองในร่างกายมีปัญหา และกระดูกผุ
รสเผ็ดการรับประทานอาหารรสชาติเผ็ดๆ ใส่พริก 10 เม็ด ชวนเหงื่อไหลไคลย้อยคือสิ่งที่หลายคนชื่นชอบ โดยแหล่งที่มาของความเผ็ดร้อนมักมากับสมุนไพรกลุ่ม เช่น กานพลู ยี่หร่า กระเทียม หัวหอม และพริก ซึ่งความเผ็ดนี่เองที่จะช่วยให้การทำงานของปอดและลำไส้ใหญ่เป็นไปตามปกติ แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดโรคร้ายที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคกรดในกระเพาะอาหารที่ทำให้นักกินเผ็ดมักมีอาการท้องขึ้นและอึดอัด
นอกจากนี้ รสชาติอันเผ็ดร้อนจนเกินไปยังสามารถก่อให้เกิด สิว เพราะความเผ็ดจะทำให้ต่อมไขมันทั่วร่างกายทำงานหนักกว่าปกติทำให้เกิดสิวได้ง่าย และที่สำคัญอาหารรสเผ็ดยังมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้หัวใจทำงานหนัก ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสเผ็ดจึงมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยไม่รู้ตัว
เทคนิคในการกินเห็นหรือยังล่ะว่าการทานอาหารรสจัดนั้นมีแต่ส่งผลเสียให้กับร่างกาย ดังนั้น เราจึงมีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณรับประทานอาหารให้อร่อยแบบไม่เสี่ยงโรคภัยมาฝากกัน
  1. ชิมก่อนปรุงทุกครั้ง
  2. ลดการเติมเครื่องปรุงรส เพราะในเครื่องปรุงรสเกือบทุกชนิดมีปริมาณโซเดียมสูง
  3. ลดการกินอาหารแปรรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก หมูยอ แหนม เบคอน ผักดอง ผลไม้ดอง
  4. ลดความถี่และปริมาณน้ำจิ้มของการกินอาหารที่มีน้ำจิ้ม เช่น ของทอด สุกี้ หมูกระทะ
  5. เลี่ยงอาหารจานด่วน เพราะมีโซเดียมสูง
  6. อ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนที่จะบริโภค
ขอบคุณที่มาจาก e-magazine.info

ไขข้อข้องใจเรื่องปวดเต้านม


ปวดบริเวณเต้านม
เป็นอาการที่พบได้บ่อยจนอาจจะเป็นเรื่องปกติในผู้หญิงส่วนมาก จะต่างกันก็ตรงที่ความรุนแรงของอาการปวดเท่านั้น เชื่อว่า 2 ใน 3 ของผู้หญิงย ทั่วไปมักจะเคยมีอาการปวดอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต และก็มักจะสร้างความกังวลใจกับคุณผู้หญิงว่ามันจะเป็น อาการของโรคมะเร็งเต้านมหรือเปล่า แต่สำหรับในขั้นตอนทางการรพทย์แล้วนั้นเราสามารถตรวจเพื่อแยกว่าเป็นการเจ็บที่บริเวณกล้ามเนื้อ หรือผนังหน้าอก ทั้งนี้อาการปวดบริเวณเต้านมสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
1. อาการปวดที่มีสาเหตุสัมพันธ์กับรอบเดือน โดยเฉพาะในช่วงหลังไข่ตก (ช่วงกลางรอบเดือน) โดยจะมีอาการปวดทั้ง 2 ข้าง เจ็บแบบตึงๆ จากอาการเจ็บๆ เพียงเล็กน้อยถึงปวดคล้ายถูกของแหลมแทง
2. อาการปวดที่ไม่สัมพันธ์กับรอบเดือน ซึ่งอาการเจ็บเต้านมมักจะสามารถระบุตำแหน่งที่เจ็บได้ โดยมักจะเป็บบริเวณใต้หัวนม ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้ อาการเจ็บมักจะรู้สึกแสบๆ คันๆ หรือตึงๆ
เจ็บเต้านมกับรอบเดือน
อาการเจ็บในลักษณะนี้เกิดจากขณะที่มีการตกไข่ ฮฮร์โมนเพศหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงทำให้กรดไขมันตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า กาโมลีนิก (Gamolenic Acid) ลดต่ำลง จึงทำให้คุณผู้หญิงรู้สึกปวดที่บริเวณเต้านม โดยจะเจ็บแบบตึงๆ ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งหากคุณผู้หญิงท่านใดเกิดความกังวล หรือสงสัยที่มันเป็นอาการของโรคมะเร็งเต้านมหรือไม่ ก็สามารถมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการดังกล่าว ซึ่งรายละเอียดในการตรวจของแพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติอาการปวดดังกล่าวว่าคุณปวดตรงบริเวณใด ปวดสัมพันธ์กับรอบเดือนหรือไม่ และจะตรวจร่างกายดูว่ามีก้อนที่เต้านมหรือมีน้ำออกจากหัวนมหรือไม่
-ถ้าตรวจพบว่ามีก้อนที่เต้านม แพทย์ก็จะส่งตรวจอัลตร้าซาวด์ดูว่าก้อนนั้นเป็นถุงน้ำหรือก้อนเนื้อ
- ถ้าตรวจพบว่ามีน้ำออกจากหัวนม ก็จะต้องดูสีน้ำที่ออกมาว่าเป็นเลือดหรือเป็นสีน้ำนมธรรมดา และแพทย์จะส่งตัวอย่างน้ำที่ออกมานั้นไปตรวจเพื่อหาเซลล์มะเร็งเต้านม และจะให้ผู้รับบริการตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์
- ถ้าพบตรวจพบว่ามีแผลหรือตุ่มน้ำใสที่ผิวหนังของเต้านมอาจจะเป็นงูสวัสดิ์ได้
- ถ้าตรวจไม่พบความผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ทำแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ถ้าผลไม่มีความผิดปกติก็จะอธิบายเรื่องปวดที่เต้านมให้ผู้รับบริการเข้าใจต่อไป
ดูแลตนเองถ้าปวดเต้านมเมื่อมีรอบเดือน
สำหรับอาการปวดเต้านมที่ไม่พบความผิดปกติที่เต้านม ก็อาจจะยากที่จะระบุต้นเหตุที่แท้จริงของอาการปวด แต่สาเหตุก็มักรวมๆ กันตั้งแต่การใช้งานแขนข้างนั้นมากเกินไป การออกกำลังกายที่ผิดจังหวะ การรับประทานยาฮอร์โมนบางชนิดหรือดื่มน้ำชา กาแฟ ช็อคโกแลต มากเกินไป
โดยหลังจากแพทย์ตรวจและไม่พบความผิดปกติใดๆ คุณก็หมดกังวลไปได้เลยว่าจะเป็นโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ลองเปลี่ยนยกทรงหรือเลือกชนิดและขนาดที่เหมาะสมกับสรีระ การปรับวิธีการรับประทานอาหาร เช่น ลดปริมาณไขมันจากเนื้อสัตว์ (นม, เนย, ชีส, ไอสครีม) และควรเพิ่มอาการจำพวกผักและผลไม้สดแทน ถ้าหากอาการยังไม่หาย อาจจะต้องรับประทานยา เช่น Evening primrose oil โดยรับประทานยาทุกวันตอนเย็นอย่างน้อย 3 เดือน
ปวดเต้านมที่ไม่เกี่ยวกับรอบเดือน
สำหรับอาการปวดในลักษณะนี้มักจะเกิดจากกระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ หรืออาจจะเกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบ หรือมีถุงน้ำที่เต้านม โดยหากมีถึงน้ำที่เต้านมแพทย์จะดูว่าถุงน้ำมีขนาดใหญ่หรือไม่ ถ้ามีขนาดใหญ่พอที่มือสามารถคลำได้แพทย์ก็จะเจาะเอาน้ำออกไป ส่วนถ้าคลำไม่ได้ก็จะให้รับประทานยาแก้ปวดแทน
อาการปวดกับมะเร็ง
ผู้หญิงหลายท่านอาจจะเกิดความกังวลใจว่า อาการปวดดังกล่าวจะเกิดมะเร็งหรือไม่ ในความเป็นตริงแล้วมะเร็งที่จะทำให้เกิดอาการปวดคือต้องมีก้อนขนาดใหญ่ และลุกลามไปที่ผิวหนังข้างนอก หรือที่ผนังหน้าอกข้างใน เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับคุณหมอหากเจอผู้ป่วยมาด้วยอาการปวดเต้านมแพทย์จะนึกถึงมะเร็งน้อยลง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 35 ปี แต่ถ้าอายุมากกว่า 35 ปี หากมีอาการปวดเต้านมข้างเดียว และสามารถคลำได้จนเจอก้อนก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมได้ แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นถึงน้ำ หรือที่เรียกว่า ซีสต์ มากกว่า
อาการของเต้านมที่ควรพบแพทย์
1. ก้อนไตแข็ง หรือเนื้อเต้านมหนาตัวขึ้นผิดปกติ
2. อาการบวม แดง ร้อน ของบริเวณเต้านมที่ไม่หายได้เอง
3. เต้านมมีขนาดหรือรูปร่างเปลี่ยนไป
4. รอยบุ๋มของผิวเต้านมหรือหัวนมที่เกิดขึ้นใหม่
5. แผล ผื่น อาการคันบริเวณเต้านม
6. มีน้ำหรือเลือดไหลจากหัวนม
ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info